การวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน
The Analysis of Lyrics and Melodies of Sarapanya Sermon
in I-San Dialed
บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
สำเร็จ คำโมง
บทคัดย่อ
การศึกษาการวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน
มุ่งศึกษาการวิเคราะห์สรภัญญ์อีสานโดยเน้นศึกษา ฉันทลักษณ์ และสังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์อีสาน ในการดำเนินการวิจัยได้ศึกษาเอกสาร
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยได้ สัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต การสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์
ผู้ขับร้องสรภัญญ์ และเนื้อหาของกลอนสรภัญญ์
โดยการพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า
ในด้านชีวประวัติของครูผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์นั้นมีความแตกต่างกันมาก
กล่าวคือ ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นพระสงฆ์จำวัด
และมีความชอบในเสียงของการขับสรภัญญ์จึงได้ประพันธ์กลอน สรภัญญ์ขึ้นเพื่อให้ศีกาจำศีลได้ขับร้อง
ในงานบุญเข้าพรรษา และบุญออกพรรษา เป็นต้น ส่วนผู้ขับร้องสรภัญญ์ที่เป็นต้นเสียงนั้นเป็นศีกาจำศีล
ซึ่งได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะได้เป็นผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์
ประการแรกที่ผู้ขับร้องสรภัญญ์ได้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ขึ้นเองสาเหตุมาจากความต้องการกลอนสรภัญญ์
ที่จะนำใช้ในการขับร้องตรงตามความต้องการของกิจกรรมของคณะสรภัญญ์ และประการที่สอง คือ
ขาดคนประพันธ์กลอนสรภัญญ์
ในด้านบทร้องของสรภัญญ์มักมีสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งพุทธประวัติ
พระโพธิสัตว์ ทั้งข้อพระธรรมและปริยติ ต่าง
ๆ เป็นสำคัญ มีการทักทายโอพาปราศรัยระหว่างผู้ขับร้องกับผู้ฟังสอดแทรก ส่วนฉันทลักษณ์ของสรภัญญ์อีสานมักมีลักษณะคำประพันธ์ประเภทกาพย์
คือ ส่งสัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งจบเพลงการใช้วรรณยุกต์ต้องกลมกลืนกับลักษณะการเคลื่อนไหวทำนองเป็นสำคัญ
ในด้านทำนอง พบว่า สังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์เป็น โมตีฟ
(หน่อยย่อยเอก) แบบสั้น ๆ
ขยายโมตีฟเป็นวลีที่มีความยาวไม่เกิน 2 ห้อง ในอัตราจังหวะ 2 หรืออัตราจังหวะ 4 ทำนองเดินขึ้น เดินลง อยู่ในช่วงแคบ
ๆ ของมาตราเสียงเพนตาโทนิค ซึ่งช่วงทบ
1 มี 5 เสียง คือ โด เร มี โซ ลา
และลงจุดพักเพลงที่เสียงลา เป็นส่วนใหญ่ที่ให้เกิดอารมณ์ไปในทางเศร้าและผ่อนคลาย
เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการขับสรภัญญ์ ซึ่งต้องให้ความสงบเย็น
คำสำคัญ :การสวดสรภัญญ์, สังคีตลักษณ์, ทำนอง,
บทร้อง
ABSTRACT
The objective of
the research was to analize the forms, the rhymes, the melodies and the lysies
of the Sarapanya Sermon in I-san dialect The processes of the research were:
studying the texts and the researches
concerned; gathering further datas through theintesview, the observation and
the discarsing with the experls and the sarapan sermoners. Then take
recordings, write out and analige.
The result of
the research were found as followed : most of the sarapan composers were the
Buddhist monks who were the learned monks and apt the be the poets, some folk
persons could write the sarapan too but most of the works were strophic songs
with quite rough wordings. The sarapan sermons were females only since most of
the Buddhists who went to practice and learn Dharma at the wat on the
Dhamasawana days were femoles Most of Texts in sarapan sermons concerned
Buddhism. The Dharma, the Buddha biography, the tales
of Buddha,s taught,etc., wre
included. The structures or the forms of the sarapan poetry were ended within
ofe poem that we called form A. Poem
staza was composed with many phrases. The length of the poem was up to the text
of each poem. The rhymes between the phrases were at the last word of the
anticident and the first or the second or the third word of the follow phrase.
The rhythm of the sarapan sismon was the 2 – bar phsase after the duple time on
the quarduple time. The pitches of the penlatonic scale: C D E G A, were used
to form the melodic lines. The moods of the sarapan sermon, therefore, were saod
and calm.
Key words: Sarapan sermon,Form, Melody,Lysic,
บทนำ
ยุคแรกเริ่มในอีสานยังไม่มี “ศาสนา”
เพราะยังไม่มีการติดต่อกับอินเดียและจีน แต่มนุษย์นั้นย่อมมีความเชื่ออยู่แล้ว คือ
ความเชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติ หรือพูดรวม ๆ อย่างง่าย ๆ ว่า ความเชื่อเรื่องผี (สุจิตต์ วงษ์เทศ, 2543) ศาสนาพราหมณ์นั้นเป็นศาสนาที่มีมาก่อนพุทธศาสนาตลอดจน
เป็นต้นเค้าของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และอื่นๆ (รุจิรา วงศ์แก้ว. 2533, อ้างถึงใน อารยัน ตคุปต์,
2549: 382) และพระเวทเป็นต้นตำหรับแห่งไสยศาสตร์ของพราหมณ์แต่งเป็นภาษาสันสกฤตโบราณ
ในรูปของฉันท์ หรือกาพย์ คัมภีร์ พระเวทแบ่งสาระสำคัญเป็น 2 ภาคคือ
มนตระ และพราหมณะ โดยที่มนตระเป็นคำฉันท์ที่ใช้สวด หรือบ่นในเวลาทำพิธี พราหมณะ
คือ คำอธิบาย พรรณนากิจการที่จะพึงทำในพิธี (รุจิรา วงศ์แก้ว. 2533, อ้างถึงใน พระราชนิพนธ์ 1.6.
2516 : 281-282)
ทำให้นักวิชาการหลายท่านได้สันนิฐานว่าสรภัญญ์น่าจะเกิดขึ้นในยุคนี้ก็เป็นได้
ประเทศไทยจึงมีจุดเริ่มต้นการสวดมาจากศาสนาพราหมณ์
ส่วนการสวดมนต์ในไทยมีอยู่ 2
แบบคือ 1) การสวดเป็นบท ๆ เป็น คำ ๆ ไป
เรียกว่าแบบ “ปทภาณะ” เช่น
การสวดของพระสงฆ์ ตามวัดทั่วไปหรือในงานพิธีต่าง ๆ และ2) การสวดแบบใช้เสียงตามทำนองของบทประพันธ์
ฉันท์ลักษณ์ต่าง ๆ เรียกการสวดแบบนี้ว่า “สรภาณะ” เช่น พระสงฆ์สวดในงานพิธีรับเทศน์หรือในเทศกาลพิเศษ
วิธีการสวดแบบสรภาณะนี้เอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สรภัญญะ” และต่อมา ได้วิวัฒนาการให้พระสงฆ์เทศน์เป็นทำนองแหล่ขึ้นในบททำนองร่ายยาว
เช่น เรื่องพระเวสสันดรชาดก (กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, 2553)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นไม่สามารถจะสืบทราบได้ว่ามีการสวด
สรภัญญ์แต่เมื่อใด คิดว่าคงได้รับอิทธิพลจากภาคกลางเหมือนกับการสวดอภิธรรมนั่นเอง
หากย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ได้สร้างโรงเรียนหลวงทุกหัวเมืองตั้งอยู่ในวัดสำคัญ ๆ และพระเถระที่เรียนรู้ภาษาไทยเป็นครูสอน
ฉะนั้นการนำการสวดสรภัญญ์เข้ามาสู่หัวเมืองอีสานน่าจะเป็นสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา การสวดสรภัญญ์ได้รับต้นแบบมาจากภาคกลางเพราะเหตุผลดังนี้
1) ฉันทลักษณ์ภาคกลาง นั่นคือ บทสรภัญญ์นั้นประพันธ์ด้วย ฉันท์ และกาพย์
(กาพยานีกาพย์ฉบัง เป็นฉันทลักษณ์ของภาคกลาง ชาวอีสานไม่มีแบบฉบับการประพันธ์ฉันท์และกาพย์ยานี
ไม่ว่าวรรณกรรมลายลักษณ์เรื่องใด ๆ )
2) สำนวนและภาษาภาคกลาง คือหลีกเลี่ยงภาษาอีสาน นั่นคือสำนวนบางตอนน่าจะใช้ภาษาถิ่นซึ่งมีความหมายดี
แต่กลอนสรภัญญะยังใช้สำนวนภาคกลาง (พระสมชิด จารุธมฺโม
(อุทากิจ), 2550)
สรภัญญ์ทำนองหนึ่ง ๆ
สามารถที่จะใช้ร้องได้หลายบท ในบทร้องแต่ละบทจะเรียกชื่อบทร้อง
ตามความหมายและเนื้อหาของบทร้องนั้น ๆ ความนิยมในการร้องสรภัญญ์
ในภาคอีสานทำให้เกิดการประพันธ์กาพย์กลอนตกแต่งทำนองประกอบกลอนที่ประพันธ์ขึ้นโดยเนื้อร้องจะแต่งขึ้นจากเหตุการณ์ปัจจุบันหรือมีบทถามข่าวตอบข่าว
อวยพร และกลอนลา ทำนองที่ประดิษฐ์ขึ้นอาจจะเทียบเคียงไปจากการเทศน์สวดของพระ
หรือดัดแปลงมาจากทำนองเพลงไทยเดิม เพลงลูกทุ่ง
เมื่อนำไปร้องก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แตกต่างกันออกไป (รุจิรา วงศ์แก้ว,
2533)
ผู้ประพันธ์สรภัญญ์บางส่วน ที่ประพันธ์กลอนสรภัญญ์อาจยังไม่เข้าใจเรื่องของฉันทลักษณ์ในการประพันธ์กลอนสรภัญญ์รวมไปถึงหลักการใส่ทำนองให้กับบทร้องของสรภัญญ์
จึงทำให้กลอนสรภัญญ์บางบทขาดสุนทรียะ ผู้วิจัยจึงได้อาศัยพื้นที่การประกวดแข่งขันขับร้องสรภัญญ์ในจังหวัดขอนแก่นเป็นแหล่งเก็บข้อมูลภาคสนาม
โดยวิธีการสัมภาษณ์ สังเกต และบันทึกวีดีโอ
ซึ่งเป็นคณะที่เดินสายการประกวดจนเกิดความชำนาญในการขับสรภัญญ์
ในการประกวดสรภัญญ์ในแต่ละครั้งจะมีกลอนบังคับให้ 1-2 กลอน ที่เกี่ยวกับกิจกรรมในการจัดงานในครั้งนั้นด้วย
แล้วให้แต่ละทีมสวมทำนองขึ้นเอง โดยผู้ประกวดจะต้องมีการประพันธ์บทไหว้ครู บทลา
ด้วยตนเอง
ซึ่งสรุปแล้วคณะสรภัญญ์แต่ละคณะจะต้องมีกลอนสรภัญญ์ที่ประพันธ์ขึ้นด้วยตนเอง
และกลอนบังคับให้ใส่ทำนองเอง
ผู้วิจัยจึงได้ทำวิจัยเรื่องการวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน
เพื่อนำเอาสรภัญญ์อีสานที่ทำการวิเคราะห์แล้วมาทำการถ่ายทอดให้กับบุคคลที่สนใจ
นักเรียน นักศึกษา ได้เรียนรู้ หัดประพันธ์สรภัญญ์ด้วยตนเอง
ทำให้เกิดสุนทรียะในการสวดมนต์ทำนองสรภัญญ์ และใช้ในการแข่งขันประกวดต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
3.1 เพื่อศึกษาชีวประวัติของครูประพันธ์สรภัญญ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์
3.2 เพื่อวิเคราะห์บทร้องของสรภัญญ์อีสานด้วยฉันทลักษณ์
3.3 เพื่อวิเคราะห์ทำนองสรภัญญ์อีสานด้วยสังคีตลักษณ์
3.4 เพื่อจัดทำคู่มือหลักการประพันธ์สรภัญญ์อีสานและบันทึกทำนองด้วยโน้ตสากล
อุปกรณ์และวิธีดำและเนินการวิจัย
การศึกษาการวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสานได้มีหลักการแบ่งการวิจัยออกเป็นระยะดังนี้
ระยะที่ 1 : ศึกษาประวัติของคณะสรภัญญ์ในจังหวัดขอนแก่น
จำนวน 4 คณะ
1. กลุ่มประชากร ในการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมจำนวน 205 คน ประกอบด้วย ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ จำนวน 4 คน และผู้ขับร้องสรภัญญ์ จำนวน 201 คน 2. กลุ่มเป้าหมาย ในการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมจำนวน 8 คน ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะจง ประกอบด้วย
ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ จำนวน 4 คณะๆ ละ 1 คน รวมจำนวน 4 คน และผู้ขับร้องสรภัญญ์ จำนวน 4 คณะๆ ละ 1 คน รวมจำนวน 4 คน
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์
เพื่อสัมภาษณ์เจาะลึก ใช้แนวทางการสังเกต
เพื่อสังเกตแบบ มีส่วนร่วม ใช้แนวทางการสนทนากลุ่ม
เพื่อจัดกลุ่มสนทนาตรวจสอบความเป็นไปได้ของการวิเคราะห์ทำนองสรภัญญ์อีสาน
และใช้สมุดจดบันทึก เพื่อจดบันทึกคำสำคัญที่ได้จากผู้ให้ข้อมูล ใช้กล้องถ่ายรูป
วีดีโอ เพื่อบันทึกการสาธิตการขับร้องสรภัญญ์อีสานของผู้ให้ข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์โดยใช้
การแปลความ การตีความ และใช้เทคนิคการตรวจสอบแบบสามเส้า ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูล
ศึกษาจำนวน 8 คนใช้วิธีการสัมภาษณ์ และศึกษาเอกสาร
ส่วนข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์ได้จากบทกลอน สรภัญญ์ของคณะสรภัญญ์ทฤษฏีที่ใช้ประกอบด้วยทฤษฏีการประพันธ์
กาพย์ ร่าย ทฤษฏีดนตรีสากล และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์ เพื่ออธิบายความเป็นมาของคณะสรภัญญ์
และฉันทลักษณ์ของบทร้องของสรภัญญ์อีสาน
และเพื่ออธิบายทำนองสรภัญญ์อีสาน
ระยะที่ 2 : วิเคราะห์บทร้องของสรภัญญ์อีสาน
ในจังหวัดขอนแก่นโดยการวิเคราะห์ฉันทลักษณ์การประพันธ์ในแต่ละกลอนของสรภัญญ์ว่ามีฉันทลักษณ์
และการร้อยเรียงลีลาตรงกับทฤษฏีประพันธ์กลอนแบบใด
ระยะที่ 3 : วิเคราะห์ทำนองสรภัญญ์อีสานโดยนำบทร้องและทำนองสรภัญญ์ที่วิเคราะห์แล้วในระยะที่
2 มาบันทึกเป็นโน้ตสากลโดยใช้หลักของการวิเคราะห์ตามหลักของมานุษยดุริยางควิทยา
ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในรูปแบบบทเพลงตามแบบสาก
5.
ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการบันทึกโน้ตสากลของบทร้อง และทำนองของสรภัญญ์อีสาน
6. การเสนอผลการศึกษาค้นคว้า การเสนอผลการศึกษาค้นคว้า
จะนำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัย
ผู้วิจัยแบ่งผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ดังนี้ ดังนี้
1. ชีวประวัติของครูประพันธ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์
คณะสรภัญญ์ส่วนใหญ่ล้วนแต่พึ่งตั้งคณะขึ้นใหม่เพื่อใช้ในการประกวดแข่งขันโดยเฉพาะ
และกลอนที่ใช้ในการประกวดแข่งขันนั้นก็เป็นกลอนจำเพาะ ถ้าหากหน่วยงานใดจัดประกวดแข่งขันสรภัญญ์ขึ้นก็จะมีกติกาให้ผู้แข่งขันปฏิบัติตามระเบียบการแข่งขัน
แต่ก็มีคณะที่มีประสบการณ์ในการประกวดโดยศึกษาจากระยะเวลาของการตั้งคณะส่วนใหญ่แล้วคณะสรภัญญ์ที่ตั้งนานที่สุดไม่เกิน
7 ปี และในระหว่าง 7 ปีนี้ก็มี
จากเหตุเบื้องต้นที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นผู้วิจัยจึงได้เลือกคณะสรภัญญ์ที่มี
ผู้ประพันธ์กลอน สรภัญญ์โดยศึกษาแนวคิดวิธีการประพันธ์กลอนสรภัญญ์ว่ามีแรงจูงใจอย่างไรบ้างในการประพันธ์กลอนสรภัญญ์ในครั้งนี้
พบว่ามีคณะสรภัญญ์ อยู่จำนวน 4
คณะ
จากการศึกษาประวัติของสรภัญญ์ทั้ง 4 คณะผู้วิจัยได้แบ่งศึกษา 2 กลุ่มคือ ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์
และผู้ขับร้องสรภัญญ์ ดังนี้
1.
ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์
ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์เป็นทั้งผู้ประพันธ์และผู้ถ่ายทอดการขับร้องสรภัญญ์ให้แก่สีกาที่ไปจำศีลทุกวันพระและวันสำคัญทางศาสนา
ภูมิเดิมที่ท่านสนใจเกี่ยวกับสรภัญญ์คือเป็นความชอบส่วนตัวแล้วเริ่มแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสรภัญญ์มาโดยตลอดจนสามารถประพันธ์กลอนสรภัญญ์ได้และให้สีกาเป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของท่าน
ส่วนครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ที่ไม่ใช่พระจะมีอยู่สองกลุ่มคือ
กลุ่มที่เป็นครูและอาจารย์ที่สอนในระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
และกลุ่มที่เป็นสีกาที่ขับร้อง สรภัญญ์และฝึกฝนตนเองจากการเป็นผู้ขับร้องจนสามารถประพันธ์กลอนสรภัญญ์ได้
ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ทั้งสองกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะตั้งคณะสรภัญญ์เพื่อใช้ในการเดินสายในการประกวดแข่งขันมากกว่าการขับร้องในวัด
จากการศึกษาการประพันธ์ระหว่างครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์
ที่เป็นพระ ครู อาจารย์ และผู้ขับร้องสรภัญญ์ พบว่า
การประพันธ์กลอนสรภัญญ์ของพระนั้น
เป็นเรื่องปกติเพราะต้นกำเนิดการเทศน์แหล่อีสานมาจากพระหรือบทสวดต่าง ๆ
ซึ่งเป็นภาษาบาลีโดยส่วนใหญ่ ดังนั้นพระจึงรู้เรื่องฉันทลักษณ์ในการประพันธ์กลอนประเภทต่างๆ
ดีเยี่ยม และเนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านศาสนาเพราะหากมีประเพณีหรือบุญต่าง ๆ
ส่วนการประพันธ์กลอนสรภัญญ์ของครู และอาจารย์
นั้นก็มีเทคนิคการประพันธ์กลอนสรภัญญ์ไม่ต่างจากพระมากนัก
เพราะใช้ฉัทลักษณ์ในการประพันธ์ที่เหมือนกัน
2. ผู้ขับร้องสรภัญญ์ (หัวหน้าคณะ)
ผู้ขับร้องสรภัญญ์ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วง 35-70 ขึ้นไป ชุดและเครื่องประดับที่ใส่มาทำการประกวด สรภัญญ์ส่วนใหญ่จะออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
รวมไปถึงค่ารถในการเดินทางมาขับร้องสรภัญญ์
การแสดงในแต่ละครั้งบางคณะก็หวังที่จะได้รางวัล
เพื่อจะได้นำเงินรางวัลที่ได้นั้นไปทดแทนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการเข้าร่วมประกวด
แต่ปัจจัยที่ได้เดินทางมาทำการประกวดแข่งขันสรภัญญ์ก็เพราะว่าตนเองมีความชื่นชอบและหลงใหลในการขับร้องสรภัญญ์
อีกสาเหตุหนึ่งของการตั้งคณะสรภัญญ์คือ การได้พบปะพูดคุยกันระหว่างวัยผู้สูงอายุไม่ให้เหงา
เกิดความสามัคคีกันในหมู่คณะ
2. บทร้องของสรภัญญ์อีสานด้วยฉันทลักษณ์
2.1 การศึกษาบทร้องสรภัญญ์ด้วยฉันทลักษณ์
1) ด้านการแบ่งวรรคตอน พบว่า การวิเคราะห์การแบ่งวรรคตอนของสรภัญญ์พบว่ามีการแบ่งวรรคตอนออกเป็น
3 รูปแบบคือ1) แบ่งวรรคตอนแบบ 2 วรรค 2) แบ่งวรรคตอนแบบ 4วรรค 3) แบ่งวรรคตอนแบบ 6 วรรค โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย พบว่า รูปแบบการแบ่งวรรคตอนที่มีมากที่สุด คือ
การแบ่งวรรคตอนแบบ 4 วรรค รองลงมาคือ การแบ่งวรรคตอนแบบ 6 วรรค
และรูปแบบการแบ่งวรรคตอนที่น้อยที่สุด คือ การแบ่งวรรคตอนแบบ 2 วรรค
2) ด้านการส่งสัมผัส พบว่า การส่งสัมผัสของบทร้องสรภัญญ์จากการศึกษาแบ่งออกเป็น
3 แบบคือ ส่งสัมผัสแบบร่าย ส่งสัมผัสแบบกาพย์
และส่งสัมผัสแบบผสม จากการวิเคราะห์การส่งสัมผัสของบทร้องสรภัญญ์
โดยเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า รูปแบบของการส่งสัมผัสที่มากที่สุดคือ
การส่งสัมผัสแบบกาพย์ รองลงมาคือ การส่งสัมผัสแบบร่าย
และรูปแบบของการส่งสัมผัสที่น้อยที่สุดคือ การส่งสัมผัสแบบผสม
3) ด้านความยาวของบท พบว่า จำนวนบทของสรภัญญ์จำนวน 11 กลอน มีความยาวของจำนวนบทขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระของการประพันธ์
เพราะมีรูปแบบการประพันธ์เหมือนร่ายคือ ไม่กำหนดความยาวของบท
และเน้นความต้องการถ่ายทอดของผู้ประพันธ์เป็นหลัก
รวมถึงช่วงเวลาในการเข้าร่วมประกวดแข่งขันด้วย หากการประกวดแข่งขันมีเวลา 20
นาที ต่อหนึ่งคณะดังนั้นผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ก็จะประพันธ์กลอนที่มีเวลาที่เหมาะสมกับการประกวดแข่งขันในเวทีนั้น
ๆ
4) ด้านการร้อยเรียงลีลา พบว่า การร้อยเรียงลีลาตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด
4 รส คือ เสาวรจนี นารีปราโมทย์ พิโรธวาทัง
และสัลลาปังคพิสัย จากการวิเคราะห์รสบทร้องของสรภัญญ์
จำนวน 11 กลอน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย
พบว่ารสบทร้องของสรภัญญ์ที่เลือกใช้มากที่สุดคือเสวรจนี รองลงมาคือ สัลลาปังคพิสัย
และรสบทร้องที่เลือกใช้น้อยที่สุด
คือ พิโรธวาทัง
3. ทำนองสรภัญญ์อีสานด้วยสังคีตลักษณ์
3.1
ศึกษาทำนองสรภัญญ์ด้วยสังคีตลักษณ์
สังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์ พบว่า สังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์เป็นโมตีฟ (หน่อยย่อยเอก) แบบสั้น ๆ
ขยายโมตีฟเป็นวลีที่มีความยาวไม่เกิน 2 ห้อง ในอัตราจังหวะ 2 หรืออัตราจังหวะ 4 ทำนองเดินขึ้น เดินลง
อยู่ในช่วงแคบ ๆ ของมาตราเสียงเพนตาโทนิค ซึ่งช่วงทบ 1 มี 5
เสียง คือ โด เร มี โซ ลา และลงจุดพักเพลงที่เสียงลา
เป็นส่วนใหญ่ที่ให้เกิดอารมณ์ไปในทางเศร้าและผ่อนคลาย
เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการขับสรภัญญ์ ซึ่งต้องให้ความสงบเย็น
3.2 จำนวนทำนองที่ปรากฏมีจำนวนจำกัด
จากการวิจัยพบว่า
มีจำนวนจำกัดระหว่าง 6-10
ทำนองที่เป็นลักษณะทำนองใช้ซ้ำ แบบสตรอฟิกซอง (Strophicn
Dorg) คือทำนองเดิมใช้บทร้องได้หลายบท
เนื่องจากการสืบทอดสรภัญญ์เป็นแบบ “มุขปาฐะ” คือ แบบปากต่อปาก ปัญหาก็คือ
ไม่ได้รับการบันทึกโน้ตดนตรี หรือบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน
จากการวิจัยสามารถอธิบายสังคีตลักษณ์ จากการบันทึกสรภัญญ์เป็นโน้ตสากล พบว่า
1. เนื้อร้องมาลาดวงดอกไม้
1) ทำนองสรภัญญ์นิพนธ์ขึ้นจากมาตราเสียง
เพนตาโทนิก (Pentatoinc Scale) ซึ่งใน 1 ช่วงประกอบด้วยเสียง “โด เร มี โซ ลา” (Cdega)
2) ใช้อัตราจังหวะสองหลังเครื่องหมาย 2/4 คือ 1 ห้อง
มี 2 จังหวะนับ จังหวะนับที่ 1 เป็นจังหวะหนัก
3) โมตีฟ ของทำนองเป็นแบบ “หนึ่งและ สอง”
4) วลีหนึ่งของทำนองมีความยาว 2 ห้อง
5) ประโยคหนึ่งประกอบด้วย 2 วลี และท่อนหนึ่งประกอบด้วย 2 ประโยค
6) ทำนองสรภัญญ์มีหลายทำนองแม้บทร้องอันเดียวกันก็สามารถใส่ทำนองต่างกันได้
ขึ้นอยู่กับนักปราชญ์ผู้ประดิษฐ์ทำนองให้แก่บทร้องนั้น ๆ
7) ทำนองสรภัญญ์บางบทอาจนำลักษณะของเพลงร่วมสมัยและเพลงพื้นบ้านมาประสมผสานอยู่ด้วยก็มี
สรุปและอภิปรายผล
สรุป
ในด้านชีวประวัติของครูผู้ประพันธ์กลอน สรภัญญ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์นั้นมีความแตกต่างกันมาก
กล่าวคือ ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นพระสงฆ์จำวัด
และมีความชอบในเสียงของการขับ สรภัญญ์จึงได้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ขึ้นเพื่อให้ศีกาจำศีลได้ขับร้อง
ในงานบุญเข้าพรรษา และบุญออกพรรษา
เป็นต้นส่วนผู้ขับร้องสรภัญญ์ที่เป็นต้นเสียงนั้นเป็นศีกาจำศีล
ซึ่งได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะได้เป็นผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์
ประการแรกที่ผู้ขับร้องสรภัญญ์ได้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ขึ้นเอง สาเหตุมาจากต้องการกลอนสรภัญญ์ไว้ใช้ในการขับร้องตรงตามความต้องการของกิจกรรม
และประการที่สอง คือ ขาดคนประพันธ์กลอนสรภัญญ์
ในด้านบทร้องของสรภัญญ์มักมีสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งพุทธประวัติ
พระโพธิสัตว์ ส่วนฉันทลักษณ์ของสรภัญญ์อีสานมักมีลักษณะคำประพันธ์ประเภทกาพย์ คือ
ส่งสัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งจบเพลงการใช้วรรณยุกต์ต้องกลมกลืนกับลักษณะการเคลื่อนไหวทำนองเป็นสำคัญ
ในด้านทำนอง พบว่า
สังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์เป็นโมตีฟ (หน่อยย่อยเอก) แบบสั้น ๆ
ขยายโมตีฟเป็นวลีที่มีความยาวไม่เกิน 2 ห้อง ในอัตราจังหวะ 2 หรืออัตราจังหวะ 4 ทำนองเดินขึ้น เดินลง
อยู่ในช่วงแคบ ๆ ของมาตราเสียงเพนตาโทนิค ซึ่งช่วงทบ 1 มี 5
เสียง คือ โด เร มี โซ ลา และลงจุดพักเพลงที่เสียงลา
เป็นส่วนใหญ่ที่ให้เกิดอารมณ์ไปในทางเศร้าและผ่อนคลาย
เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการขับสรภัญญ์ ซึ่งต้องให้ความสงบเย็น
อภิปรายผล
การวิจัยศึกษาบทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสานในครั้งนี้ได้มีผลการวิจัยบางส่วนซึ่งได้สอดคล้องกับผลการวิจัยเรื่องนี้อยู่หลายประเด็น
ดังนี้
1. ชีวประวัติของครูประพันธ์สรภัญญ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์
ผลการวิจัยในครั้งนี้พบว่า ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์เป็นทั้งผู้ประพันธ์และผู้ถ่ายทอดการขับร้องสรภัญญ์ให้แก่สีกาที่ไปจำศีลทุกวันพระและวันสำคัญทางศาสนาซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ นารีรัตน์ จันทวฤทธิ์ (2553) ได้ให้ทัศนะว่าสำหรับการสวด สรภัญญ์ในเมืองไทยนั้นมีการสวดมานานแล้ว ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่
4 ผู้ที่สวดจึงมักเป็นพระสงฆ์ และอุบาสกอุบาสิกาที่อ่านภาษาบาลีได้
และสอดคล้องกับแนวคิดของ ประมวล พิมพ์เสน (2553) ได้อธิบายว่าสมัยพระอาจารย์สิง
ขันตยาคโม และอาจารย์พระมหาปิน ปัญญาพโล พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ได้มาปักหลักเผยแผ่ศาสนธรรม “ภาคปฏิบัติ” ณ วัดป่าโคกเหล่างา (วัดป่าวิเวกธรรม) ในตัวเมืองขอนแก่น ได้แต่งหนังสือจงรัก ยกย่องพระพุทธศาสนา
ร้อยกรองเป็นคำฉันท์ต่าง ๆ ใช้สวดเป็นทำนองสรภัญญ์
ถ้าหากศึกษาการประพันธ์ระหว่างครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์
ที่เป็นพระ ครู อาจารย์ และผู้ขับร้องสรภัญญ์ จะพบว่า
การประพันธ์กลอนสรภัญญ์ของพระนั้น
เป็นเรื่องปกติเพราะต้นกำเนิดการเทศน์แหล่อีสานมาจากพระหรือบทสวดต่าง ๆ
ซึ่งเป็นภาษาบาลีโดยส่วนใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ รุจิรา วงศ์แก้ว (2533. อ้างถึงใน, กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2512) ได้กล่าวว่าใน ในสมัยรัชกาลที่
6 ทรงพระราชนิพนธ์บทสวดมนต์ต่าง ๆ เป็นคำฉันท์
ทรงจัดระเบียบทำวัตรสวดมนต์สำหรับนักเรียน ลูกเสือ และเสือป่าขึ้น
และได้ใช้ระเบียบนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นพระจึงรู้เรื่องฉันทลักษณ์ในการประพันธ์กลอนประเภทต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการประพันธ์กลอนแหล่ การประพันธ์บทร้องสรภัญญ์ เป็นต้น
และเนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านศาสนาเพราะหากมีประเพณีหรือบุญต่าง ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ แก้วตา
จันทรานุสรณ (ม.ป.ป.) ซึ่งได้อธิบายเกี่ยวกับสรภัญญ์ว่า
ประเทศไทยจึงรับเอาการร้องสรภัญญ์มานานควบคู่กับพุทธศาสนา มีพัฒนาการมาจากการสวดพระธรรมวินัยของพระสงฆ์มาเป็นการขับร้องของฆราวาสเนื้อหาของสรภัญญ์มักเกี่ยวกับศาสนาและประเพณีซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ พระสมชิด จารุธมฺโม (อุทากิจ) (2550) พบว่าจริยธรรมด้านหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา
ในบทขับร้องสรภัญญ์อีสานจะเน้นเรื่อง ทาน ศีล บุญ กรรม ความกตัญญู ความสามัคคี และอบายมุข
มากกว่าคำสอนในข้ออื่น ๆ จริยธรรมด้านจารีต ในบทขับร้องสรภัญญ์อีสานจะเน้นจริยธรรมทั้งของบุคคลและจริยธรรมในสังคม
2. บทร้องของสรภัญญ์อีสาน
ผลการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า บทร้องของสรภัญญ์มีสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งพุทธประวัติ
พระโพธิสัตว์ ทั้งข้อพระธรรมและปริยติต่าง ๆ เป็นสำคัญมีการทักทาย โอพาปราศรัยระหว่างผู้ขับร้องกับผู้ฟังสอดแทรก
และมักจบด้วยกลอนลำลา สอดคล้องกับผลการวิจัยของ มัลลิกา มาภา (2553) ได้อธิบายเหตุการณ์สื่อสารของสรภัญญ์ทั้งหมด
ซึ่งจัดเป็น 3 ส่วนได้แก่ ส่วนนำ ส่วนเนื้อหา และส่วนสรุป
หัวข้อหลักของการสวดสรภัญญะ คือ การแสดงความเคารพ ความศรัทธาต่อคุณพระศรีรัตนตรัย
วัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อเพิ่มความเชื่อ ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา
ยกระดับจิตใจให้ดีขึ้น และสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น เนื้อหาของเหตุการณ์สื่อสาร คือ
สวดสรภัญญะเพื่อจรรโลงใจ ส่วนฉันทลักษณ์ของสรภัญญ์อีสานมีลักษณะคำประพันธ์ประเภทกาพย์
คือ
ส่งสัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งจบเพลงการใช้วรรณยุกต์ต้องกลมกลืนกับลักษณะการเคลื่อนไหวทำนองเป็นสำคัญ
ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ มานิตย์ โคกค้อ
(2552) ในท้องถิ่นอีสาน นิยมแต่งด้วยกาพย์ยานี 11
โดยมีเนื้อหาเป็นภาษาไทยกลาง และภาษาไทยอีสานด้านทำนองสวด พบว่า
ขึ้นอยู่กับลักษณะบังคับทางฉันทลักษณ์ บางครั้งอาจแต่งทำนองก่อนแล้วจึงแต่งเนื้อหา
บางครั้งอาจแต่งเนื้อหาก่อนแล้วจึงแต่ทำนองสวดตามทีหลัง
2. ทำนองสรภัญญ์อีสานด้วยสังคีตลักษณ์
ผลการวิจัยในครั้งนี้พบว่า สังคีตลักษณ์ของ สรภัญญ์เป็นโมตีฟ (หน่อยย่อยเอก)
แบบสั้น ๆ ขยายโมตีฟเป็นวลีที่มีความยาวไม่เกิน 2 ห้อง ในอัตราจังหวะ 2 หรืออัตราจังหวะ
4 ทำนองเดินขึ้น เดินลง อยู่ในช่วงแคบ ๆ ของมาตราเสียงเพนตาโทนิค
ซึ่งช่วงทบ 1 มี 5 เสียง คือ โด เร มี
โซ ลา และลงจุดพักเพลงที่เสียงลา
เป็นส่วนใหญ่ที่ให้เกิดอารมณ์ไปในทางเศร้าและผ่อนคลาย
เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการขับสรภัญญ์ ซึ่งต้องให้ความสงบเย็น
โดยทำนองของสรภัญญ์แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ทำนองหลัก คือ และทำนองสตอฟิกซอง คือ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ เดชา ศรีคงเมืองลักษณะเฉพาะของทำนองสรภัญญะนั้นมีขอบเขตของเสียงเพียง 3 เสียงหลัก ซึ่งจะขอกล่าวกรณีตัวอย่างที่นำมาประกอบการพิจารณานี้
เสียงหลักคือ F , G และ Aทำนองที่นำมาเป็นตัวอย่างนี้เป็นทำนองใน
1 ประโยคของการสวด เมื่อเทียบกับบทประพันธ์แล้ว มีการบรรจุคำสวดครบ
1 บทประพันธ์ รูปแบบทำนองเป็นลักษณะ “เอกบท”
(Strophic Form) กล่าวคือ
ในรูปแบบทำนองเดียวกันนี้สามารถบรรจุคำสวดที่แตกต่างออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ย่อมมีรายละเอียดใน การออกเสียงคำที่แตกต่างกันทำให้เกิดโน้ตแทรกแซงที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ทำนองอยู่ภายใต้โครงทำนอง (Melodic Contour ) เดียวกัน นอกจากบทสวดภาษาบาลีแล้ว
ยังมีบทสวดที่ประพันธ์ด้วยฉันท์ภาษาไทย
ทำให้ทำนองสรภัญญ์มีหลายทำนองแม้บทร้องอันเดียวกันก็สามารถใส่ทำนองต่างกันได้
ขึ้นอยู่กับนักปราชญ์ผู้ประดิษฐ์ทำนองให้แก่บทร้องนั้น ๆ
รวมทั้งทำนองสรภัญญ์บางบทอาจนำลักษณะของเพลงร่วมสมัยและเพลงพื้นบ้านมาประสมผสานอยู่ด้วยก็มี
ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาวิจัยการวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน
มีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
1.
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
1.1 ภูมิปัญญาท้องถิ่นเปรียบเสมือนรากเหง้าที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมในระดับชาติและระดับโลก
จากการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของสังคมในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์ สืบทอด
และถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างมาก ข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้
ชี้ว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ สรภัญญ์อีสานที่ได้สืบทอดกันมาอย่างช้านาน
ซึ่งได้รับผลกระทบทางด้านทุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจกรรม
การเผยแพร่การขับร้องสรภัญญ์ให้มากขึ้น รัฐบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐควรจะตั้งการกอบกู้ ฟื้นฟู
และบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติต่อไป
1.2 จากกรณีตัวอย่างทั้งด้านครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์
และผู้ขับร้องสรภัญญ์ ที่มีบทบาทสำคัญที่เป็นผู้สืบทอดสรภัญญ์
ที่จากรึกไว้ในสังคมไทย ควรได้รับการฝึกอบรมด้านการประพันธ์กลอน
และการขับร้องสรภัญญ์ อย่างเป็นระบบและมีสถาบันการศึกษาทางดุริยางคศิลป์เข้ามาให้การช่วยเหลือและผลักดัน
ส่งเสริม ให้การประพันธ์กลอนสรภัญญ์และการขับร้องสรภัญญ์ มีมาตรฐานตามหลักสากล
ต่อไป
2. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1. สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนทั้งในระบบ
นอกระบบ และตามอัธยาศัย ควรนำผลงานวิจัยนี้ไปใช้ประโยชน์ใน การทำนุบำรุงการศึกษาทางภูมิปัญญาท้องถิ่น
โดยใช้เป็นแนวทางในการจัดทำหลักสูตรสรภัญญ์
ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาภูมิปัญญาไทย
และใช้เป็นเอกสารประกอบการสัมนาและอบรม
2. ครูผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ควรศึกษาฉันทลักษณ์
และสังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์ให้ละเอียดและถี่ถ้วนก่อนที่จะประพันธ์บทร้องเพื่อให้บทร้องสรภัญญ์ที่ประพันธ์
เกิดสุนทรียะถูกต้องและสมบูรณ์ตามหลักวิชาการ
3. ผู้ขับร้องสรภรัญญ์ควรได้รับการฝึกอบรมการขับร้องจากผู้เชี่ยวชาญด้านการขับร้องเพราะจะส่งผลให้การขับร้องสรภัญญ์เกิดสุนทรียะ
ทำให้ผู้ฟังคล้อยตามในขณะที่รับฟัง
3.
ข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป
3.1 ควรมีการศึกษาวิจัยเรื่อง
การจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นสรภัญญ์อีสาน เพื่อใช้สอนในโรงเรียนระดับ
มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
3.2 ควรมีการศึกษาคณะสรภัญญ์อีสานในทุกจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เพื่อศึกษาสำเนียง ทำนอง และบทร้อง ของสรภัญญ์อีสานในแต่ละพื้นที่
3.3 ควรศึกษาวิจัย ปัญหา และอุปสรรค ของคณะสรภัญญ์อีสาน
ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากงบประมาณรายได้มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประจำปี 2556 ผู้วิจัยขอขอบคุณ
สำนักวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี
ขอขอบพระคุณ รศ.สำเร็จ คำโมง ที่แนะนำวิธีวิทยาตลอดจนประสิทธ์สาทวิชาความรู้ด้านการประพันธ์บทร้องสรภัญญ์
และดนตรี ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ยาใจ บริบูรณ์ รองศาตราจารย์
วิไลวัจส์ กฤษณะภูติ และรองศาสตราจารย์ประจิตร มหาหิง
ที่ให้คำแนะนำด้านระเบียบวิธีการวิจัย อาจารย์ที่ปรึกษาด้วยดีตลอดมา
ขอขอบคุณสำนักวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยขอนแก่นวัดหนองแวงพระอารามหลวง
และมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ขอนแก่น ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ศึกษาวิจัยสรภัญญ์
และคณะสรภัญญ์ทั้งหมด 30 คณะ ที่ให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
และสนับสนุนโครงการวิจัยด้วยดีตลอดมา
บรรณานุกรม
[1] กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, กระทรวงวัฒนธรรม.
(2554). สืบสานฮีตฮอยหมอลำเฉลิมพระเกียรติฯ
84 พรรษา. ขอนแก่น: ขอนแก่นการพิมพ์.
[2] แก้วตา จันทรานุสรณ. สรภัญญ์ : ภูมิปัญญาชาวบ้าน
กับบทบาทในสังคมอีสาน มนุษย์ศาสตร์
สังคมศาสตร์ปีที่ 19 ฉบับที่ 3
(รวมผลงานวิจัย)
[3] เดชา ศรีคงเมือง. ม.ป.ป. สรภัญญะ.
/journal/waikru51/Sorapan.pdf.
สืบค้นเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2556
[4] นารีรัตน์ จันทวฤทธิ์. 2553. การส่งเสริมทักษะทาง
ภาษาของเด็กปฐมวัย โดยใช้กิจกรรมคำคล้องจอง
ทำนองสรภัญญ์ ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (Brain
Based Learning). ศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม.
(หลักสูตรและการสอน) มหาสารคาม :
มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม.
[5] ประมวล พิมพ์เสน. 2553. สารภัญญ์ เพลงกล่อมลูก
คู่มือการประกวดศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน.
ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา
[6] พระสมชิด จารุธมฺโม (อุทากิจ). 2550.
ศึกษาวิธีการ
สอดแทรกจริยธรรมในบทขับร้องสรภัญญ์อีสาน
: ศึกษาเฉพาะกรณีบทขับร้องสรภัญญ์อีสานในเขต
ตำบลตาดทอง อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี.
วิทยานิพนธ์.
ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
(พระพุทธศาสนา)
ขอนแก่น : บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
[7] มานิตย์ โคกค้อ.
2552. วิเคราะห์บทสวดสรภัญญะ
บ้านท่าลาดตำบลแสนสุข
อำเภอพนมไพร
จังหวัดร้อยเอ็ด. อุบลราชธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏ
อุบลราชธานี.
[8] มัลลิกา มาภา. 2553. การสวดสรภัญญะของจังหวัด
นครพนม : ศึกษาตามแนวชาติพันธ์วรรณนาแห่ง
การสื่อสาร.
ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. (ภาษาไทย).
กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิยาลัย
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
[9] รุจิรา วงศ์แก้ว.
2533. องค์ประกอบของการร้อง
สรภัญญ์ : ศึกษากรณีอำเภอเมือง
จังหวัด
มหาสารคาม. ปริญญานิพนธ์. วิชาเอกไทยคดีศึกษา
(เน้นมนุษย์ศาสตร์).
มหาสารคาม :
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
[10] สุจิตต์ วงษ์เทศ.
2543 . เบิ่ง สังคมและวัฒนธรรม
อีสาน. กรุงเทพฯ : มติชน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น