13 มีนาคม 2562

ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน

ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน
บุญจันทร์  เพชรเมืองเลย

ภาคอีสานในปัจจุบันประกอบด้วย 20 จังหวัด สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ จังหวัดหนองคาย เลย อุดรธานี หนองบัวลำภู กาฬสินธุ์ และขอนแก่น 2) อีสานกลาง ได้แก่ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และชัยภูมิ 3) อีสานใต้ ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งพื้นที่ในภาคอีสานมีทั้งหมด 170,218 ตารางกิโลเมตร หรือ 1 ใน 3 ของพื้นที่ประเทศไทย มีประชากร 21,775,407 คน ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ของภาคอีสาน รวมถึงมีประชากรที่มากที่สุดในประเทศไทย จึงส่งผลให้ประชากรที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานมีหลายกลุ่มวัฒนธรรมด้วยกัน ที่อีสานมีหลายกลุ่มวัฒนธรรม  อาจเป็นเพราะว่าบางส่วนเกิดจากลักษณะภูมิศาสตร์ที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ทิศตะวันออกและทิศเหนือติดแม่น้ำโขง ทิศใต้ติดประเทศกัมพูชา และทิศตะวันตกติดกับภาคกลาง เป็นต้น (สุจิตต์  วงศ์เทศ,  2543; สุวิทย์  ธีรศาสนวัต,  2557)
                   จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า ภาคอีสานมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ส่งผลให้ประชากรมีจำนวนมากตามไปด้วย ในด้านของวัฒนธรรมก็ย่อมมีความหลากหลายด้วยเช่นกัน ความแตกต่างด้านวัฒนธรรมอาจมีปัจจัยหลายอย่างเช่น สภาพภูมิศาสตร์ ภาษา อาชีพ เชื้อชาติ ลัทธิความเชื่อ ศาสนา และระบบการปกครอง ปัจจัยดังกล่าวนี้ต้องอาศัยการศึกษาด้วยวิธี คติชาวบ้าน เมื่อจะศึกษาในชุมชนใดชุมชนหนึ่ง จำเป็นจะต้องศึกษาสภาพแวดล้อม ได้แก่ สภาพดินฟ้าอากาศ หรือสภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละที่ให้ลุ่มลึก ดังเช่นสภาพภูมิศาสตร์ของภาคอีสาน ที่มีพื้นที่ราบสูงและกว้างใหญ่ สภาพดินเป็นดินร่วนปนทราย ทำให้เวลาฝนตกลงมาดินไม่อุ้มน้ำหลายพื้นที่ในอีสานจึงแห้งแล้ง อาชีพส่วนใหญ่ของคนอีสานคือ เกษตรกรรม และเลี้ยงสัตว์ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารมีหลายภาษา เช่น เขมร ภาษาเลย ภาษาโคราช ภาษาผู้ไท ฯลฯ(บุปผา  บุญทิพย์,  2547)  
ภาษาท้องถิ่นอีสาน

          ในการศึกษาภาษาท้องถิ่นอีสานนั้นมีความละเอียดอ่อนพอสมควรเพราะภาคอีสานมีหลายวัฒนธรรม จึงทำให้มีหลากหลายภาษาไปด้วย เพื่อให้เข้าใจในเรื่องของภาษาท้องถิ่นอีสานย่างถี่ถ้วนจึงควรแบ่งภาษาเพื่อทำการศึกษาออกเป็น 2  ลักษณะ  คือ ภาษาพูด และภาษาเขียน ดังนี้

1. ภาษาพูดท้องถิ่นอีสาน
          1.1 ลักษณะของภาษาพูดท้องถิ่นอีสาน
      ภาษาพูดสามารถ แบ่งออก 5 ชนิด คือ คำคล้องจอง คำซ้อน คำสุภาษิต คำพังเพย และคำสร้อย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. คำคล้องจอง คือ คำที่มีสัมผัสในของ คำที่ 2 กับคำที่ 3 จำนวนคำพยางค์ มี 4 -5 พยางค์ เช่น
1) เว้ายาก ปากหมอง     4) อยู่ดี มีแฮง 
2) เงินคำ กำแก้ว          5) อุกอั่ง ทังเท
3) ลูกเมีย เฟียก้น         6) เสื้อผ้า หน้าแพร       

2. คำซ้อน คือ คำที่ซ้ำคำเดิม มีอยู่ 1 พยางค์ เช่น
1) นำโฮง นำฮู             4) ฟ้ามืด  ฟ้ามัว
2) เฟือแข่ง เฟือขา        5) น้ำอด น้ำทน
3) ผู้จบ ผู้งาม              6) แม่ฮ้าง แม่หม้าย
3. สุภาษิต  คือ ถ้อยคำที่มีคติสอนใจให้เกิดสติเนื้อหามีความสัมพันธ์กับศาสนาผู้แต่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีการศึกษาหรือบวชเป็นพระ เช่น
1) นกเค้าท้วงตาแม่        4) ซื้อควายยามนา
2) หามผีตกป่าช้า          5) ของเน่าอย่ากิน
3) ใหญ่แต่เล้า ข้าวบ่มี     6) บ่อนนูนให้ถาก
4. คำพังเพย คือ คำที่กล่าวแสดงถึงความจริงแต่พูดไว้อย่างเป็นกลาง มีลักษณะเป็นคำพูดที่ใช้สั่งสอน คำพังเพยนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคำพูดของชาวบ้าน มีสัมผัสระหว่างวรรคของคำที่ 1หรือ 2 หรือ 3ของวรรคถัดไป จำนวนคำพยางค์ มี 4-10 พยางค์ เช่น
สำนวนที่ 1
ภาษาอีสาน : ซ้างสิตายท่าวเครือ   เสือสิตายท่าวป่า
ภาษากลาง : ช้างจะตายเท่าเครือ  เสือจะตายเท่าป่า
ความหมาย :
                   สำนวนที่ 2
ภาษาอีสาน  ฝนสิตกฟ้าแจ้ง        ฝนสิแล้งฟ้ามืดฟ้ามัว
ภาษากลาง
ความหมาย
3) นุ่งผ้าลายหมาเห่า      เว้าความเก่าผิดกัน
ภาษาอีสาน  
ภาษากลาง
ความหมาย
4) เบิ่งงัวให้เบ่งหาง        เบิ่งทางให้เบิ่งแม่
ภาษาอีสาน  ฝนสิตกฟ้าแจ้ง        ฝนสิแล้งฟ้ามืดฟ้ามัว
ภาษากลาง
ความหมาย
5) ไปสวรรค์ทางฮก        ไปนรก ทางแปน
ภาษาอีสาน  ฝนสิตกฟ้าแจ้ง        ฝนสิแล้งฟ้ามืดฟ้ามัว
ภาษากลาง
ความหมาย
5. คำสร้อย คือ คำที่เป็นคำแสดงของกริยา เพื่อขยายความหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือคำที่ขยายนั้นอาจจะมีหรือไม่มีความหมายก็ได้ แต่ใช้คำสร้อยเพื่อให้เกิดท่วงทำนองที่ลงตัวและเหมาะสมของคำในประโยคนั้น เช่น
สูง       ขยายเป็น         สูงเตวแวว

เหม็น    ขยายเป็น         เหม็นอึ้งตึ้ง

หอม     ขยายเป็น         หอมฮ่วยฮ่วย

หรือขายความหมายให้มีความหมายชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น
รู        ขยายเป็น         จิ่งปิ่ง จ่างปาง แจงแปง โจงโป่ง

แดง     ขยายเป็น         จี่วี่ จ่ายว่าย จ่อยว่อย

ล้ม      ขยายเป็น         ปิ่งหงิ่ง ป่างหง่าง ป่องหง่อง

          คำที่ยกมาเป็นตัวอย่างทั้งหมดนี้ ทุกวันนี้คนอีสานก็ยังใช้พูดหรือสัมพันธ์กันอยู่ ถึงแม้ว่าความเจริญของโลกเข้าสู่ยุคโลกกาภิวัฒน์แล้วก็ตาม คำภาษาท้องถิ่นอีสานก็ยังไม่ได้สูญหายไปแม้แต่น้อย

          1.2  ภาษาพูดที่เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ
                    วรรณกรรมมุขปาฐะ คือ เรื่องเล่าจากปากต่อปากโดยไม่ได้เขียนหรือบันทึกไว้ในหนังสือ ซึ่งวรรณกรรมมุขปาฐะสามารถแยกศึกษาได้นี้ คือ 1) ปริศนาคำทาย 2) ผญา 3) เพลงกล่อมลูก4) เพลงพื้นบ้าน 5) นิทานพื้นบ้าน
                   ในอดีตสังคมของอีสานยังไม่มีความเจริญเท่าปัจจุบันนี้ ทำให้การสื่อสารด้วยเทคโนโลยี ทีวี หรือวิทยุ เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ด้านการศึกษาก็มีอยู่อย่างจำกัด โดยส่วนใหญ่ผู้ชายชาวอีสานจะได้เรียนหนังสือมากกว่าผู้หญิง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าโรงเรียนก็คือวัด นั่นเอง ดังนั้นผู้ที่จะได้เรียนหนังสือมากที่สุดก็คือผู้ชาย ด้วยวิธีการบวชเรียน ผู้ที่บวชเรียนเหล่านี้เมื่อคราวที่ยังเป็นพระก็ได้เรียนรู้พระธรรมคำสอนทางศาสนา และวรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน ปรัชญาคำคมต่าง ๆ อย่างมากมาย และมีพระบางส่วนได้ลาจากสมณเพศมาเป็นคฤหัสถ์แล้วก็ได้นำภูมิรู้ที่เคยเรียนสมัยเป็นพระมาเป็นผู้นำทางด้านศาสนา เช่นเป็นหมอพราหมณ์สูตรขวัญ เป็นเฒ่าจ้ำ เป็นต้น ดังนั้นจึงทำให้บุคคลเหล่านี้มีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเรียนรู้ในการท่องจำคาถาอาคม บทสูตรขวัญ ผญา กลอนลำ เป็นต้น และได้ใช้สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน


1) ปริศนาคำทาย
ปริศนาคำทายเป็นคำถามที่ใช่เล่นกันในเวลาว่าง หรือถามกันเมื่อมีอารมณ์นึกสนุกขึ้นมา ซึ่งคนอีสานก็มีคำทาย หรือ คำทวย ตอบโต้กันอย่างสนุกสนาน ส่วนใหญ่แล้วปริศนาคำทายนี้มักจะเล่นกันในหมู่กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่เป็นเพื่อนกันเล่าสืบต่อกันมาโดยไม่ทราบผู้แต่ง เป็นคำถามที่ทดสอบความสามารถทางด้านปัญญาของผู้ตอบคำถาม คำทวยนี้อาจจะแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ เช่น
คำทวยเกี่ยวกับอวัยวะ เช่น
ภาษาอีสาน      :  ตัดกกบ่ตาย      ตัดปลายบ่เหี่ยว    แม่นหยัง
ภาษากลาง       :  ตัดโคนก็ไม่ตาย  ตัดปลายก็ไม่เหี่ยว  คืออะไร       
คำเฉลย คือ      :  เส้นผม
คำทวยเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ เช่น
ภาษาอีสาน      : สุกอยู่เต็มดิน  แต่เก็บกินบ่ได้    แม่นหยัง
ภาษากลาง       : สุกอยู่เต็มดิน  แต่เก็บกินก็ไม่ได้  คืออะไร
คำเฉลย คือ      : แดด
          คำทวยเกี่ยวกับพืช เช่น
                   ภาษาอีสาน      : ต้นท่อลำหวาย    ใบท่อตีนช้าง   แม่นหยัง 
                   ภาษากลาง       : ต้นเท่าลำหวาย   ใบเท่าเท้าช้าง  คืออะไร
                   คำเฉลย คือ      : บัว
2) ผญา
ผญา เป็นสำนวนสุภาษิตที่กลุ่มชาวบ้านอีสานใช้กันซึ่งผญานี้จะเป็นคำที่ใช้สอนเชิงปรัชญา เมื่อผู้ฟังได้ฟังแล้วก็จะรู้สึกขบคิดทบทวนความหมายของบทผญานั้นอย่างลึกซึ้งกินใจ (สำหรับผู้ฟังผญาเข้าใจ) โดยใช้วิธีเล่าสืบต่อกันมาโดยไม่ทราบผู้ชื่อเจ้าของผู้ประพันธ์ ซึ่งผญาก็ได้แบ่งออกเป็นหลายบท หรือคนอีสานเรียกว่า บั้น เช่น
บั้นคติพจน์
ครั้นได้ขี่เฮือแล้ว อย่าลืมแพไม้ไผ่ 
ครั้นเจ้าได้ใหม่แล้วอย่าลืมข้อยผู้อยู่พลอย
บั้นสอนสตรี
หญิงบ่มีผัวนี้คือแหวนหัวเปล่า พลอยบ่มีอยู่ค้างเขาซิเอิ้นกั่วซืน
บั้นความฝัน
น้องฝันว่าชาวนครกว้างทางกรุงขับแห่
ยกพระจันทร์จากฟ้า มาให้บ่าวพี่ชาย
คือสิมีหลายหมั่นเครือหวายพันธุ์สับสอด สาแหล่ว
บั้นลาจาก
ผัดแต่เป็นชายขึ้นบ่เคยเสียน้ำเนตร
อยากบ่ได้จ้ำ น้ำตาย้อยย่าวไหลอะแฮม
(ช.ศิษย์นักประพันธ์.  ม.ป.ป.)


3) เพลงกล่อมลูก
เพลงกล่อมลูก เป็นบทกลอนที่แม่ใช้ขับลำในขณะที่ไกวแป เพื่อกล่อมลูกให้เข้าใจว่ามีแม่อยู่เคียงข้างตลอดเวลา ซึ่งบทเพลงหรือกลอนลำกล่อมลูกที่แม่ชาวอีสานขับกล่อมลูกนี้ จะเกิดจากการด้นสดคิดอะไรได้ในขณะนั้นก็จะขับลำออกมา เนื้อหาส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวข้องกับคำสอนลูก ความเป็นอยู่ของครอบครัว และความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
นอนสาเด้อหล่าหลับตาแม่สิกล่อม
แม่ไปไฮหมกไข่มาหา
แม่เลี้ยงม่อนอยู่ในป่าสวนมอน
ฟังเสียงเอิ้นกะอ้ายบ่าวสิลา
จับอึ่งแล้วเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย
นอนตื่นแล้วเจ้าจั่งแอ่วกินนม
แม่ไปนาจี่ปลามาป้อน
นอนตะแคงกะอยู่กกไม้เนิ่ง
เพิ่นไปนาจับอึ่งมาแล้ว
ควายกูเสียอีแม่กู่ด่า
ไพบูลย์ แพงเงิน. 2534. กลอนลำภูมิปัญญาของอีสาน. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียน
สโตร์.

4) เพลงพื้นบ้าน
เพลงพื้นบ้านของภาคอีสานเรียกว่า หมอลำ หมายถึง ศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคอีสานที่ต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ ความสามารถและความชำนาญในการท่องจำบทกลอนลำจากวรรณกรรมพื้นบ้านที่ประพันธ์ขึ้นด้วยสำนวนภาษาอีสานโดยมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบ และสามารถถ่ายทอดให้ชาวบ้านฟังอย่างเข้าใจ
หมอลำมีพัฒนาการทั้งหมด 7 ยุค  (สนอง คลังพระศรี,  2541) ดังนี้
          1.ก่อนพุทธศตวรรษที่ 20 (ก่อน พ.ศ. 1900) :หมอลำผีฟ้า และผญาเกี้ยว
ในช่วงนี้มีการสันนิฐานว่าหมอลำมีอยู่ 2 ประเภท คือ เกิดจากหมอลำผีฟ้า และเกิดจากผญาเกี้ยว ดังนี้
1) หมอลำผีฟ้า:  ลัทธิบูชาแถน
                   จากยกตัวอย่างข้อความในหนังสือประชมพงศาวดารของไทย ภาคที่ 1  เรื่องพงศาวดารล้านช้าง โดยได้กล่าวถึงตอนที่พยาแถนหลวงได้สั่งชาวแถนลงมาสอนเล่นเครื่องดนตรี แก่มนุษย์ซึ่งมีความว่า (โบราณคดี สโมสร, 2457)
          “…เมื่อนั้นพระยาแถนเล่าถามว่าเครื่องอันจักเล่นจักหัว แลเสพรำคำขับทั้งมวญนั้นยังได้แต่งแปงให้แก่เขาไป ยามนั้นแถนแพนจึงว่าเครื่องฝูงนั้นข้อยไป่ได้แต่งแปงกาย เมื่อนั้นพระยาแถนหลวงจึงให้ศรีคันธพะเทวดา ลาลงมาบอกสอนคนทั้งหลายให้เฮ็ดฆ้องกลองกรับ เจแวงปีพาทยพิณเพี้ยะเพลงกลอนได้สอนให้ดนตรีทั้งมวญ แลเล่าบอกส่วนครูอันขับฟ้อนฮ่อนนะสิ่งสว่าง ระเมงละมางทั้งมวญถ้วนแล้ว…”
          หลังจากชาวแถนได้ลงมาสอนให้มนุษย์สร้างเครื่องดนตรี พร้อมทั้งสอนการเล่นและการฟ้อนให้แก่มนุษย์แล้ว กาลเวลาก็ได้ล่วงเลยไปนานพอควรมวลมนุษย์ก็เริ่มชำนาญในการเล่นดนตรีด้วยตนเองแล้ว แถนหลวงจึงได้กล่าวว่า
          แต่นี้เมือน่า อย่าให้เขาขึ้นมาหาเฮาซ้ำสองทีทอญ แม้นเราก็อย่าลงไปหาเขาซ้ำสองทีทอญ แถนหลวงจึ่งให้ตัดข้อหลวงอันแรงกายหลายหลวงอันแรงเรียวนั้นเสีย แต่นั้น ผีแลคนลวดบ่เทียวไปมาหากันได้หั้นแล
          จากข้อความที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้โลกมนุษย์และโลกของแถนได้ตัดขาดออกจากกันตั้งแต่นั้นมาอย่างถาวร ทำให้แถนและมนุษย์ไม่สามารถติดต่อกันได้โดยตรง แต่เมื่อมนุษย์อยากติดต่อกับแถน ก็จะมีตัวประสานงาน คือ ล่าม ในการติดต่อ ล่ามในที่นี้เปรียบคือ ร่างทรง ผีฟ้า นางเทียม ฯลฯ ซึ่งในสมัยโบราณมนุษย์ยุคก่อนเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แห้งแล้ง และน้ำท่วม เป็นฝีมือของผีหรือการกระทำของแถน ซึ่งที่จริงแล้ว แถน คือผู้สร้างโลก ในนิยายเรื่องน้ำเต้าปุง แต่ต่อมาแถนในความคิดจากนิทานได้เปลี่ยนไปเป็นตัวร้ายทำให้ฝนไม่ตกบ้าง น้ำท่วมบ้าง จนเกิดเดือดร้อน เช่นในนิทานเรื่อง พญาคันคาก (จารุวรรณ ธรรมวัตร,  2552)
          ดังนั้น เมื่อแถนไม่พึงพอใจในการกระทำของมนุษย์ก็อาจเกิดความเดือดร้อนขึ้นในภายภาคหน้า มนุษย์จึงต้องบวงสรวง เซ่นไหว้ และเคารพต่ออำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านี้ จึงกลายเป็นประเพณีฮีตคองขึ้น เช่น ฮีตที่ 6 บุญบั้งไฟ หรือที่เกิดจารีตประเพณีพิธีกรรม ที่ มาริโกะ กาโต๊ะ (2538) เรียกว่า บูชาผีขึ้น ในอดีต
          ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาประกอบกับในอดีตความเจริญยังเข้าไม่ถึงหมู่บ้านที่ห่างไกลเมืองหากเวลาผู้คนเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่มีแม้แต่โรงพยาบาลที่จะเข้ารักษาเหมือนในปัจจุบัน ชาวบ้านได้แต่อาศัยการรักษาด้วยสมุนไพรและหากไม่หายก็ต้องอาศัยการสวดอ้อนวอนเทพเจ้าให้ช่วยเหลือ เยียวยาอาการป่วยไข้ด้วยวิธีการที่เรียกว่า ลำผีฟ้า ซึ่งมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบลำเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างกลอนเช่น
                             กลอนวอนขอ
เว้าต่อเอื้อย มันบ่เป่าเสียสีเด้หล่า เว้าต่อเอื้อย กะบ่เป่าเสียลาย เด้นาง
กายบ่สูญเสียเสี่ยง ผิวงามงามยังคือเก่าเด้หลา  คั้นว่าเนื้ออ่อนอ้อน  ผะอวนน้องกะดั่งหลัง
คั้นทั้งหลาย เพิ่นนี้บ่มกล้วยบ่บ่มอ้อย        เจ้าอย่าบ่มหัวใจเด้อนาง
ทั้งหลายเพิ่นขังปู ขังปลาในไซ                เจ้าอย่าขังความเว้า พี่เด้อ
เฮ็ดจั่งใด๋ สิได้เบาอกหล่า                     ป๋าเปิ่นเวิ่นเว้าม่วนม่วน ซั้นตั๊วะหลา
 เว้าต่อเอื้อย  นี้คือฆ้องกล่อมนอน           คือจั่งแหกับข้อง  ละซีลองเว้ากันคล่องนางเอ้ย
 ทางแหผัดมุดน้ำ ทางข้องผัดล่องนำ         กลองกับฆ้อง ให้มันล่องนำกันเด้อหล่า
 อย่าให้มีรังฆังจองหอง บ่ล่องลงนำฆ้อง      ว่าแต่มันดีใจน้อง สาวผู้ดีเอื้อยบ่ว่า หล่าเอ้ย…”
(เกรียงไกร  ผาสุตะ,  2557อ้างจาก นางบัวไข,นางจำปา,นางสงกา)
จากสังคมยุคก่อน พ.. 1900 นี้ผู้วิจัยสันนิฐานว่า สังคมยุคนี้นอกจากจะมีการประกอบพิธีกรรมรักษาโรคด้วยผีฟ้า ซึ่งมีท่วงทำนองลำอันไพเราะและสะกดคนฟังอย่างน่าเกรงขามแล้ว ในระหว่างนี้ภายในหมู่บ้านก็อาจจะมีกิจกรรมที่ให้ความบันเทิงที่มีทั้งเสียงร้องและท่วงทำนองเกิดขึ้นด้วย จนเห็นว่าเกิดความไพเราะและแฝงไปด้วยคำกินใจและปรัชญา หรือที่เรียกว่า  ผญา จนสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันก็เป็นได้
2)ผญาเกี้ยว :หนุ่มจีบสาว
ในสมัยก่อนตอนกลางคืน หญิงสาวชนบทจะมาชุมนุมลงข่วงเข็ญฝ้าย คำว่า ข่วง หมายถึง ลาน หรือบริเวณที่กว้าง และจะมีหนุ่ม ๆ มานั่ง คุยสาวหรือหยอกสาวบางคนอาจเป่าแคน ดีดพิณ และคุยสาวตามคุ้มต่าง ๆหากพอใจสาวคนใดเป็นพิเศษก็จะสนทนาโต้ตอบด้วยโวหารที่ไพเราะมีความหมายอันลึกซึ้ง ซึ่งเรียกว่า จ่ายผญาเกี้ยว ต่อมามีการนำผญาเกี้ยวไปลำโต้ตอบกันจนกลายเป็นผญามาจนถึงปัจจุบัน
(โอสถ บุตรมารศรี.  2538 อ้างจาก จารุวรรณ  ธรรมวัตร.  ...:40-41)ตัวอย่างกลอน เช่น
กลอนผญาเกี้ยวชายหญิง
ชาย: พี่นี้มุ่งมาดแม้ง จิตใจแสวงมาแล้ว แสนที่แพงคำฮัก หม่อมพระนางมีฮ้าง
หวังเอาเป็นคู่สร้างบารมีเฮียงฮ่วมกันแล้ว
หญิง:  ครันแม่นจิตพี่มุ่งน้อง ขอมาดมุ่งดอมพี่เอย ย้านแต่มัวมองเมินบางหมางหนี ฮ้างนี้แล้ว
คันพี่หมายมาสร้างบารมีเฮียงฮ่วมจริงนั้น น้องจักขอมอบเมี้ยนเป็นข้าชั่วชีวังแท้เล้ว…”
ฯลฯ
(น้อย  ผิวผัน,  ม.ป.ป.)
          2. พุทธศตวรรษที่ 20 (หลังพ.. 1900): เทศน์แหล่ของพระสงฆ์
 ในอดีตวัดเป็นศูนย์กลางของการศึกษาผู้ที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ตัวอักษรที่ใช้เขียนคือ อักษรไทยน้อย และอักษรธรรม ที่เป็นวรรณกรรมอีสานที่เกิดจากความชำนาญจนกลายเป็นความเคยชินของผู้เรียนในขณะนั้น พอหลังจากที่สึกออกมาแล้วคนเหล่านี้ก็จะสามารถแต่งกลอนลำได้ จึงได้แต่งกลอนลำให้ผู้ที่มีความสามารถในการลำได้ลำ จะเห็นได้ว่ากลอนลำที่พระใช้เทศน์ลำ และกลอนอ่านหนังสือของพระที่ใช้เทศน์นั้น จะเป็นกลอนเดียวกันกับกลอนลำทางยาว ต่างกันที่การเอื้อนเสียงทำนองบางช่วงเท่านั้น แต่โครงสร้างกลอนลำจะแต่งแบบกลอนวิชุมาลี หรือโครงสาร ซึ่งมีลักษณะการประพันธ์เหมือนกัน จึงสันนิฐานได้ว่า หมอลำน่าจะพัฒนามาจากการเทศน์ลำ หรือเทศแหล่ของพระสงฆ์ (วรศักดิ์  วรยศ,  2554 อ้างจาก อุดม  บัวศรี 2535:75) ตัวอย่างกลอน เช่น
กลอนแหล่ สมัยเดิมอีสาน
บัดนี้....อาตมาจักได้ แหล่เรื่องเค้าตั้งแต่เก่าโบราณกาล
เป็นธรรมเนียมชาวอีสานผ่านมาแต่นานล้ำ
มีศีลธรรมชาวบ้านคนอีสานตั้งแต่เก่า
โบราณเฮาตั้งแต่กี้บ่มีเรื่องวุ่นวาย….
อยู่กันแบบน้องอ้ายปกครองง่ายแบบกันเอง
พวกนักเลงบ่มีหารพวกหมู่พาลบ่มีดื้อ 
ถือเอาศีลธรรมเลี้ยงพลเมืองปกครองง่าย
มีกฎหมายสิบสี่ข้อพอแล้วอยู่สบาย…”
ฯลฯ
(เตชวโร ภิกขุ (อินตา กวีวงศ์),  ...)
          3. พุทธศตวรรษที่ 24 (หลังพ.. 2322): หมอลำพื้น หมอลำกลอนและหมอลำโจทย์-แก้
 ในช่วงนี้มีการสันนิฐานการเกิดหมอลำว่ามีอยู่ 3 ประเภท คือ เกิดหมอลำพื้น เกิดหมอลำกลอนและเกิดหมอลำโจทย์-แก้ ดังนี้
           1) หมอลำพื้น หรือ ลำเรื่อง หมายถึง เรื่องราวหรือการเล่าเรื่องราว ซึ่งในสมัยก่อนหมอลำพื้นเป็นที่นิยมของชาวบ้านมาก กลอนลำที่หมอลำนำมาลำมักเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา เช่น นิทานชาดก พุทธทำนาย เป็นต้น ผู้แสดงหมอลำพื้นเป็นผู้ชายชุดที่ใส่จะใส่เสื้อและกางเกงขายาวสีขาว ลำบนเวทียกพื้นเตี้ย โดยมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบขณะลำ ทำนองลำใช้ทำนองลำทางยาว แคน ลายใหญ่ และ ลำทางสั้น แคนลายน้อย แล้วแต่บทบาทในการนำเสนอเรื่องราวการแสดง (คงฤทธิ์ แข็งแรง,2537) หมอลำพื้นมีผู้แสดงเพียงคนเดียว จึงมีหลายบทบาทในคนเพียงคนเดียวเช่น เจ้าเมือง มเหสี พระเอก นางเอก ตัวตลก คนรับใช้ เป็นต้น อุปกรณ์ในการแสดงที่สำคัญคือ ผ้าขาวม้า ซึ่งผ้าขาวม้าเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของฉากการแสดงอย่างหนึ่ง เช่น หากกล่าวถึงตัวพระผู้ลำก็จะเอาผ้าขาวม้าผูกเอว หากกล่าวถึงตัวนางผู้ลำก็จะผ้าขาวม้าห่มเฉลียง เป็นต้น (วุฒินันท์  สุพร.  2556 อ้างจาก อุดม บัวศรี.2526)ตัวอย่างกลอน เช่น   
กลอนลำพื้น
บัดนี้ ฟังเบิ่งเรื่องกะตามเรื่องนิทาน ตามครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนมาลำเรื่อง
ฝูงคนเฒ่าอย่าเหงานอนให้เจ้าซื่น ตืนมืนตาม่องก่อง สองเบื้องอย่าท่านอน ฟังเบิ่งเรื่องกะตามเรื่องชาดก ยกมาเป็นนิทาน อ่านมาแต่ปางเค้า…”
ฯลฯ
(สนอง คลังพระศรี.2541 อ้างจาก  ทองมาก จันทะลือ.... วัสดุบันทึกเสียง)           
           2)หมอลำกลอนเป็นการลำสลับชายหญิง กลอนลำที่ลำขึ้นอยู่กับการนำเสนอ เช่น กลอนวิชาการ กลอนประวัติศาสตร์ กลอนธรรมชาติ และลักษณะของกลอนขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ได้แก่ กลอนเกี้ยว กลอนโจทย์แก้ กลอนเดินดง เป็นต้น ซึ่งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะลำโต้ตอบหรือบางครั้งก็อาจจะมีการประชันกลอน โดยขึ้นต้นเปิดฉากด้วยกลอนไหว้ครู ใช้ทำนองลำทางสั้น และถัดจากนั้นจะเป็นกลอนบรรยายอาจเป็นกลอนนิทาน ใช้ทำนองลำทางยาว และสุดท้ายเป็นกลอนลำเกี้ยวระหว่างหมอลำชายและหมอลำหญิง ใช้ทำนองลำเต้ยโขง พม่า และธรรมดา การแต่งกายผู้ชายนิยมแต่งกายด้วยชุดสากล เสื้อแขนยาวผูกไท้ ส่วนหมอลำหญิง จะแต่งกายที่สวยงามตามสมัยนิยมคือ สวมชุดผ้าไหม เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดง คือ แคน เป่าคลอประกอบขณะลำ หมอลำกลอนเป็นหมอลำที่ถือว่าเป็นต้นเค้าของหมอลำที่เป็นครูถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างดี เพราะเนื้อหาของกลอนลำส่วนใหญ่จะมีทั้งคดีโลก และคติธรรมที่แทรกด้วยคำสอนต่าง ๆ ของประเพณี และวัฒนธรรมในสังคมอีสานอย่างสมบูรณ์ (เอื้อมเดือน   ถิ่นปัญจา,  2548)ตัวอย่างกลอน เช่นตัวอย่างกลอนลำทางยาว

กลอนลำลา
โอ่ยโอ้ยละนอเอออ่วย
ฟ้าเอยฟ้าฮ้องหล่าย ทางอุดรหนองคาย น้องได้ยินหรือบ่
ฟ้าเอ้ยนอฮ้องตึ้งพุ้นตึ้งพี้ ใจอ้ายห้วงพะนาง..เอ้ยเอยน่า
บรบวนแล้ว      ชายลำสิลาจาก
สิได้พากพี่น้อง             ลุงป้าคู่สู่คน
ลำมาโดนจนล้า            ตาลายปากฝ่าว
ทางผ่องอิดอ่อนล้า         ขายั้งสิบ่ไหว…”
ฯลฯ
(สุนทร  แพงพุทธ,  2556)
           3) หมอลำโจทย์-แก้ลำโจทย์แก้พัฒนามาจากการเทศน์โจทย์ของพระสงฆ์ ซึ่งจะมีหมอลำอยู่ 2 คน โดยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ตั้งโจทย์เป็นกลอนลำถามคู่ลำ กลอนที่ใช้ถาม เช่น กลอนประวัติศาสตร์ กลอนศาสนา กลอนภูมิศาสตร์ กลอนวรรณคดี เป็นต้นฝ่ายที่ตอบจะต้องลำกลอนแก้ให้ได้ หากหมอลำที่ลำตอบคำถามฝ่ายโจทย์ไม่ได้ก็จะต้องลงจากเวทีถือว่าปฏิภาณไหวพริบของหมอลำยังไม่เพียงพอจึงทำให้หมอลำที่ตอบคำถามไม่ได้นั้น รู้สึกอับอายไปเลยก็มี และเชื่อกันว่าหมอลำโจทย์แก้นี้กำเนิดมาจากจังหวัดขอนแก่น จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม(เยาวภา ดำเนตร,  2536) ตัวอย่างกลอน เช่น
(กลอนโจทย์)
“… บัดนี้ถามว่าจั่งซี้ถามยอดปาระมัตถ์
ถามวิปัสสนาธรรมนั่งให้คาเดียวนี้
คำว่าวิปัสสนานั้นทำกันจั่งใดแน่
ผลประโยชน์ที่แท้ทำได้นั้นแม่นหยัง…”
ฯลฯ
(กลอนแก้)
“…มึงสิถามให้กูคาถามหยังสำนี้
กูบ่คาท่อขี้กูนี้ละเวยหำ
ปาระมัตถ์ธรรมคือธรรมปาระมัตถ์
มีปัญญาแจ้งชัดรู้ยิ่งเห็นจริง
ฮู้โดยบ่แอบอิงรู้ผลรู้เหตุ
รู้จักสมุทเฉทริยะสัจจัง…”ฯลฯ
(อุดม บัวศรี.2546,  อ้างจาก  พิมพ์  รัตนคุณสาสน์.  ...)
           4. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2  (ประมาณ พ.ศ. 2485 - 2490): หมอลำเรื่องต่อกลอน
           หมอลำในอดีตมีจำนวนผู้แสดงเพียง 1 คน คือ ลำพื้นและเพิ่มเป็น 2 คน คือ ลำกลอน และจำนวนผู้แสดงหมอลำก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถตั้งคณะได้จึงเรียกว่า หมอลำหมู่ ซึ่งหมอลำหมู่สมบูรณ์แบบเมื่อปี พ..2548  เกิดจากหมอลำ 3 คน คือ หมอลำทองคำ หมอลำคำกลอง หมอลำอินตา ชาวจังหวัดขอนแก่น ได้ฝึกหัดแสดงลำอย่างจริงจังและแพร่หลายในที่สุด ชุดเสื้อผ้าได้แบบอย่างมาจากการแต่งกายของลิเกภาคกลาง หมอลำหมู่จะลำอยู่ 2 แบบ คือ ลำเวียง และลำเรื่องต่อกลอน ลำเวียง คือ การลำทำนองแบบลาวเวียงจันทร์ ทำนองลำเอื้อนเสียงยาวเป็นช่วง ๆ ส่วนลำเรื่องต่อกลอนจะลำทำนองขอนแก่น กาฬสินธุ์ อุบล สารคาม ซึ่งก็จะมีวาดลำต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีการเอื้อนเสียงช้า เช่นเดี่ยวกับลำเวียง กลอนลำจะอยู่ในกลุ่มของกลอนลำทางยาว เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดง ได้แก่ กลองชุด กีตาร์เบส กีตาร์ คีย์บอร์ด ซอ พิณ แคน เป็นต้น ผู้แสดงมีจำนวน 50-100 คน เนื้อหาของการแสดงมาจากวรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน เช่น ขูลูนางอั้ว ผาแดงนางไอ่ บทบาทของผู้แสดงประกอบไปด้วย พระราชา พระมเหสี โอรส พระธิดา ทหาร ตัวตลก คนรับใช้ เป็นต้น เวลาทำการแสดงเริ่มตั้งแต่หลังเทียงคืน จนถึง 6 โมงเช้า ซึ่งหมอลำเรื่องต่อกลอนหรือลำหมู่ในปัจจุบันได้แพร่หลายและได้รับความนิยมทั่วทั้งอีสานเป็นอย่างมาก(ปริญญา ป้องรอด, 2544)ตัวอย่างกลอนเช่น
กลอนลำทำนองขอนแก่น
หลายๆ ปีจั่งมาพ้อ       ไปเฮ็ดหยังมาน้อ  สั่งมางามแท้นอห่า
หรือแม่นเทพธิดา          เพิ่นลงมาจากฟ้ามาเยี่ยมมนุษย์เฮา
ผิวกะเหลื่อมเย้าๆ          ขาวผ่องนวลใส
พวกผู้ชายเหลียวเห็น      ซักกะเซนหนอเป็นบ้า
ขอโทษเด้อน้องหล้า        นอนคนเดียวหรือมีคู่
พี่ชายลำอยากฮู้                     เชิญเจ้าเล่าไข…”
ฯลฯ
(สุนทร  แพงพุทธ,  2556 หน้า 2)
           5. ประมาณ พ.ศ. 2490-2510 :หมอลำเพลิน และหมอลำชิงชู้
 ในช่วงนี้มีหมอลำเกิดขึ้นอยู่ 2 ประเภท คือ หมอลำเพลิน และหมอลำชิงชู้ ดังนี้
           1)หมอลำเพลินหมอลำเพลินพัฒนามาจากหมอลำหมู่ ลักษณะเด่นของลำเพลินที่ต่างจากลำหมู่คือ จังหวะดนตรีและทำนองลำจะคึกคักและรวดเร็วขึ้น ชุดการแต่งกาย เช่นกระโปรงจะสั้นกว่าลำหมู่ ผู้แสดงประกอบด้วย พระราชา พระมเหสี พระเอก นางเอก ตัวโกงชายหญิง ตัวรอง ตัวตลก เป็นต้น บทกลอนที่ใช้ลำมาจากวรรณกรรมพื้นบ้าน เช่น สังข์สินไชย มโนห์รา เป็นต้น มีผู้แสดง 10-20 คน เครื่องดนตรีสากลที่นิยมได้แก่ กลองชุด กีตาร์เบส กลองทอม ออร์แกน คีย์บอร์ด แซกโซโฟน เป็นต้น และเครื่องดนตรีพื้นบ้านได้แก่ ซอ พิณ แคน โหวด ทำนองลำที่ใช้ลำได้แก่ ลำทางสั้น ลำทางยาว ลำเต้ย ลำเดิน และมีคั่นการแสดงด้วยเพลงลูกทุ่งหมอลำร่วมด้วย เนื้อหาของเพลงไม่จำเป็นต้องเข้ากับเรื่องราวที่หมอลำแสดงก็ได้ (ณัฐพงษ์  ภารประดับ,  2555  อ้างจาก จารุวรรณ ธรรมวัตร:  2520: 78-86)ตัวอย่างกลอน เช่น
                                                ลำเพลินเกี้ยวสาว
พอแต่เปิดผ้าม่านกั้ง  ออกมาส่องมองหา
ขาวนวล ๆ ในตาให้ส่งมาแน่เด้อยิ้ม
โอยนอนาง คำนาง พอเหลียวเห็นหน้าอำคาน้องพี่
สวัสดีทุกท่านวันนี้พบเห็น น้องผู้นั้นใส่ชุดสีลาย
จั่งแม่นงามเอาหลาย บ่าวพี่ชายบ่เคยพ้อ…”
ฯลฯ
(สุนทร  แพงพุทธ2556 หน้า 59)
           2)  หมอลำชิงชู้จัดอยู่ในกลุ่มของหมอลำกลอนแต่ปรากฏอยู่ในช่วงยุคปี พ.. 2490-2510 ประกอบด้วยชาย 2 คน หญิง 1 คน โดยผู้ชายสองคนจะต้องแสดงให้ฝ่ายหญิงเห็นว่าตนมีความเก่ง หล่อ และรวย เพื่อให้ฝ่ายหญิงสนใจและรับเป็นคนรัก หรือหากเพิ่มผู้ชายเป็น 3 คน หญิง 1 คน จะเรียกว่า ลำสามเกลอ หรือลำสามสิงห์ชิงนาง โดยที่ทั้ง 3 คนเป็นเพื่อนกันแต่รักหญิงคนเดียวกัน จึงทำการแย่งชิงกันเพื่อได้นางที่หมายปองมาเป็นคู่รัก ทั้ง 3 คน อาจจะมีอาชีพที่ต่างกัน เช่น พ่อค้า ชาวนา ข้าราชการ ซึ่งทั้ง 3 คน จะต้องโชว์ความสามารถลำยกตัวเองขึ้นอวดให้สาวสนใจซึ่งก็คล้ายกับการลำโจทย์ แก้ เป็นต้น
(คงฤทธิ์ แข็งแรง,  2537) ตัวอย่างกลอน เช่น
(หมอลำหญิง ทองสูน สุดาจิตร)
“…เอาอี่น้องจั่งว่าเดิกมาแล้วนี้ ขันเอานำนำ
แต่หัวค่ำจนว่าเดิกซักไซ้  มาแล้วเที่ยงคืน
ความลึกตื้นกะเว้าสู่กันฟัง แต่ว่ายังสงสัยฝ่ายทางสองอ้าย
สุพรรณ คำเก่ง คันแม่นชายพอใจน้อง
ของประจำนำฝาก จั่งสิสมอยากได้ให้เป็นหมั่นแก่นสาน
ความปากต้านมันบ่เที่ยงเป็นธรรม
บ่ทันเห็นเป็นของจำเชื่อคำบ่ทันได้…”
ฯลฯ
(หมอลำชาย สุพรรณ ตระรินันท์)
“…ว่าจั่งใดละสายใจน้องรัก
คันไผฮักให้หาของมาจำนำวะติ
หาของมาจำนำว่าแม่นไผใจกลั่นว่าซั้นเบาะ
ข่อยแห่งปวดเอานั้นเว้าพื้นจำของ
แต่จำแล้วกะอยากลองเห็นดีโลดถี่
คันซื้อแล้วกะอยากขี่แนวม้าสองขา
คันตกลงราคาเงินคำจำฝาก
สิ่งให้ข่อยยากบ่ละแม่อีหนู…”
ฯลฯ
(หมอลำชาย คำเก่ง บัวใหญ่)
“…เอาเด้อเด้อนางอยากฟังเด้อน้องทองใบน้องใหม่
สาวทองสูรย์มีทองให้มีทองมั่นยังจำ
พี่นี้กะพอใจนำคั่นน้องบ่เกี้ยวทางอื่นทางฮือ
ทองสูรย์เอย สูรย์เอย คันสิคือความจาว่ามาเดียวนี้
ทองชายมีมาแล้วแนวจำของฝาก
อย่าได้คิดยากเถอะคันน้องแน่ใจ…”
ฯลฯ
(ไพบูรณ์  แพงเงิน,  2534  อ้างจาก ราชบุตรสเตอริโอ)
           6. ปี พ.ศ.2523-2524: หมอลำเพลินประยุกต์ และเพลงลูกทุ่งหมอลำ
           ในช่วงนี้มีหมอลำเกิดขึ้นอยู่ 2 ประเภท คือ หมอลำเพลินประยุกต์ และเพลงลูกทุ่งหมอลำ ดังนี้
           (1)หมอลำเพลินประยุกต์หมอลำเพลินประยุกต์พัฒนามาจากหมอลำเพลินธรรมดาซึ่งจุดเด่นของหมอลำเพลินประยุกต์อยู่ที่กระโปงของนักร้องและหางเครื่อง จะสั้นเหนือหัวเข่า จนเรียกว่า หมอลำกกขาขาว เรื่องราวที่นำมาแสดงก็จะเหมือนลำเพลินยุคแรก คือ นำมาจากวรรณกรรมอีสาน เช่น ลำเพลินแก้วหน้าม้า ลำเพลินขุนช้างขุนแผน (สนอง คลังพระศรี,   2541) ภายหลังจากทำนองลำเพลินธรรมดาทั่วไป ก็มีทำนองที่เรียกว่า ลำแพน เกิดขึ้นซึ่งลำเพลินประยุกต์นี้จะเน้นเพลงลูกทุ่งหมอลำสลับลำแพนมากที่สุด
           (2)  เพลงลูกทุ่งหมอลำในสมัยช่วงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงนี้นิยมร้องเพลงรำวงกันมาก จนกระทั่งหมอลำได้นำมาดัดแปลงเนื้อร้อง และทำนองของเพลงรำวง โดย ร้องเพลงลำวงสลับลำจนเกิดเป็น เพลงหมอลำขึ้น ซึ่ง กฤษฎา ศรีธรรมา สันนิฐานว่าเพลงหมอลำที่บันทึกเสียงเพลงแรก คือ รำเกี้ยวสลับรำวงของ คำปุ่น ฟุ้งสุข (กฤษฎา  ศรีธรรมา,  2534) ตัวอย่างกลอน เช่น
‘’…(ลำ) แงงดูหน้า สายตาคิ้วโก่ง
น้องเป็นคู่โค้ง คุณพี่อย่าเฉย
เลยมาร้องรำวงเกี้ยวต่อ
มาเถิดหนอเนื้อเกลี้ยงเสียงเว้าบ่ลง
(เพลง) ยิ้มอยู่ทำไมเธอจ๋า (ซ้ำ)
ลุกขึ้นมามาเล่นลำวง ฉันโค้งโฉนไม่รำ (ซ้ำ)…”
ฯลฯ
(กฤษฎา  ศรีธรรมา,  2534 อ้างจาก แผ่นเสียงตากระตายของบริษัทโคลัมเบีย CET 37009  คำปุ่น ฟุ้งสุข ผู้ลำ)
           7. ปี พ.ศ. 2529- ปัจจุบัน: หมอลำซิ่ง
 หมอลำซิ่งพัฒนามาจากการลำกลอนวาดขอนแก่น มีทำนองอยู่ 4 ทำนอง คือ ทำนองลำทางสั้น ทำนองลำทางยาว ทำนองลำเดิน และทำนองลำเต้ย (นันท์รวี  ขันผง,  2537)ซึ่งลำซิ่งเป็นการลำสลับเพลงมีแคน พิณ เบส และกลองชุดเป็นเครื่องดนตรีประกอบโดยมีหางเครื่องประกอบการลำด้วย ลำซิ่งเกิดจากหมอลำราตรี ศรีวิไล และพี่ชาย คือ หมอลำสุนทร ชัยรุ่งเรือง ได้คิดค้นประยุกต์เอาลำกลอนมาพัฒนารูปแบบใหม่โดยเฉพาะการนำลำกลอนที่มีแต่แคน เป็นเครื่องดนตรีประกอบลำ ซึ่งยังไม่เข้ากับยุคสมัยจึงได้นำเครื่องดนตรีสากลมาเสริมในกลอนลำทางสั้นที่ให้จังหวะเร็วเกิดอารมณ์ตื่นเต้น จนเกิดเป็นคอนเสิร์ตลำซิ่งขึ้นตั้งแต่ปี พ..2529 เป็นต้นมา (วุฒิศักดิ์ ตะกะศิลา, 2541)ตัวอย่างกลอนเช่น


กลอนลำซิ่ง
“…(ลำ)เอาละน้อบัดนี้คุณพ่อศรัทธา หลานสิพันละนายาดีบอกต่อ
อยู่นำแม่นำพ่อนำตนอัตตา บ่ต้องไปซื้อหาเงินคำกำแก้ว
(เต้ยพม่า)อ้ามามามามามา มาเถิดพี่ยาออกกำลังกาย
ประโยชน์มันมีมากมาย สุดจะบรรยายให้พี่น้องฟัง
(ลำเดินขอนแก่น) ขออำลาทุกท่าน มีงานมีการจั่งพ้อกันใหม่
ขอส่งพรปฏิบัติให้ได้ ๆๆ สิพาให้แม่สำบาย …”
ฯลฯ
(ประมวล พิมพ์เสน,  2546)

5) นิทานพื้นบ้าน
นิทานพื้นบ้านประจำท้องถิ่นอีสาน เกิดจากการเล่าจากปากต่อปาก และได้พัฒนานำมาเขียนเป็นวรรณกรรมลายลักษณ์ที่เป็นบทกลอนมีฉันทลัษณ์แบบกลอนอ่าน หรือบางเรื่องก็มีฉันทลักษณ์ที่ประพันธ์แบบโคลงสารที่มีลักษณะเดียวกันกับการประพันธ์กลอนลำ วรรณกรรมนิทานพื้นบ้านอีสานที่เป็นที่นิยม ได้แก่ เรื่อง ขูลูนางอั้ว ผาแดงนางไอ่ จำปาสี่ต้น ฯลฯ ซึ่งในเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ขอยกตัวอย่างนิทานพื้นบ้านอีสาน จำนวน 10 มาให้ผู้อ่านได้ศึกษาบางส่วนมาดังนี้

1. นิทานเรื่อง ท้าวขุนทึง

2. นิทานเรื่อง ท้าวหมาหยุย

3. นิทานเรื่อง กำพร้าผีน้อย

4. นิทานเรื่อง ท้าวศรีทนต์

5. นิทานเรื่อง ท้าวกำพร้าคำสอน

6. นิทานเรื่อง ท้าวนกกระจอก

7. นิทานเรื่อง ท้าวโสวัตร์

8. นิทานเรื่อง ท้าวนกคุ่ม

9. นิทานเรื่อง ท้าวจักรษิณพรหมริน

10. นิทานเรื่อง กระต่ายในวงพระจันทร์

2. ภาษาเขียนท้องถิ่นอีสาน
          2.1 อักษรอีสานโบราณ
          อักษรโบราณอีสาน มีอยู่ 2  ชนิด คือ อักษรธรรม และอักษรไทยน้อย  ซึ่งผสมผสานกันระหว่างอีสานกับลาว ที่ได้มีการสืบทอดวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงมาด้วยกัน จึงมีวรรณกรรม ตัวอักษร และภาษา ที่ใช้สื่อสารที่มีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก จนกระทั่ง เมื่อมีการใช้ พ.ร.บ. ประถมศึกษา ปี พ.ศ. 2464 สมัย ร.6  บังคับให้ใช้อักษรไทยตามระบบโรงเรียน นับตั้งแต่นั้นมาจึงทำให้อักษรธรรม และอักษรไทยน้อยได้เลือนลางจางหายไปจากวัฒนธรรมอีสานในที่สุด
2.1.1. อักษรธรรม
                             การพบอักษรธรรมนี้ปรากฏหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษ ที่ 21 เป็นต้นมา ซึ่งอักษรธรรมได้พัฒนามาจากอักษรมอญโบราณ ใช้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา และวรรณกรรมที่เกี่ยวกับศาสนา เช่นพระไตรปิฎก พระธรรมคัมภีร์ เป็นต้น เพราะถือว่าอักษรธรรมเป็นอักษรชั้นสูง และศักดิ์สิทธิ์ จึงนิยมใช้เกี่ยวกับศาสนาเท่านั้น
ตัวอย่างอักษรธรรม
คำอธิบาย: capture-20161221-143450.pngคำอธิบาย: 15683539_718507251639750_236871304_n.jpg
(บุญจันทร์  เพชรเมืองเลย,  2559)
กลอนลำ นางอั้วตอนผูกคอตายใต้ง่าจวงจันทร์
ทำนอง  ลำทางยาว (ลำเรื่องต่อกลอนทำนองขอนแก่น)
ประพันธ์โดย บุญจันทร์  เพชรเมืองเลย 6/03/59
(บทที่ 1) 
อันความเคือง มารดาน้อง   เอามาถอง ใจแค้นอั่ง
อั้วคำ ได้แต่นั่ง                         หลั่งน้ำตาไหลย้อย  มารดาเจ้า บ่อิดู
(บทที่ 2) 
อ้ายขูลูเอ้ย....
          สาลิกา ฮ้องท้วง           เอิ้นอ่าว น้าวคืนหวน
ให้ทบทวน ความคิด                 ในหว่างจิต ใจส่องฮู้
เทิงคึดนำ ขูลูอ้าย                   คันบ่ตาย สิยากตื่ม
ในพงป่า ฟ้าครึ้ม                     สาลิกาน้อย ฮ้องไห้นำ
(บทที่ 3) 
อั้วคำ ย่างเลาะถ้ำ         มืดค่ำ ในดงหนา
เสือสิงห์ลิง ชะนีผา                  ลนลัดเลาะ เปาะปีนไม้
ต้นจวงจันทร์ เถือบมาใกล้          เห็นเป็นเงา แสงเดือนส่อง
เสียงวิโวก เวกเวิ้น                   วิญญาณเอิ้น จวงง่าผี
(บทที่ 4) 
อั้วตั้งจิต ในมื้อนี้           กรรมเวรมี อย่าสาปสม
ให้ง่าจันทร์  โน้มลง                 ไหมคำมัด พันง่าไว้
(บทที่ 5) 
สาธุเด้อ...เทวดาท่อนไท้    ให้เหลิงหล่ำ นำแลเหลียว...เด้นอ...
ผัวผู้เดียว คือขูลู                     บ่ฮักไผ มาเทียมซ้อน
ลูกขอวอน พ่อแถนไว้               ให้สายแนน ลูกพันเกี่ยว
กกเครือเกี้ยว อุ้มลุ้ม                 ขูลูอ้าย ชาติใหม่แทน
(บทที่ 6) 
ใจบ่มี อั่งแค้น              บ่เคียดแนน ในใจจิต
งาจวงจันทร์ ทรงฤทธิ์               ดึงไหมคำ อั้วลอยไว้
มรณังชีวาไห้                         วิญญาณ เหาะเหินไป  ภพใหม่แล้ว จิตยังห่วง
บาปเวรกรรม ยังตามหน่วง         ทวงอดีต เฮ็ดผิดไว้  เทียวชดใช้ อิแม่เวร เออ
(กลอนลง)
อั้วคำ...เอย


2. อักษรไทยน้อย
          อักษรไทยน้อย หรืออักษรที่เป็นอักษรประจำชาติลาวในปัจจุบัน เป็นอักษรที่มีนักวิชาการได้ศึกษาความเป็นมาโดยการอ้างอิงข้อมูลจากทางประวัติศาสตร์ทั้งนักวิชาการไทยและนักวิชาการลาว ดังนี้
1. จากหนังสือของ อดุลย์ ตะพัง (2543)  ได้อธิบายว่า การเกิดของอักษรไทยน้อยนั้น เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยยุคสุโขทัยโดยตรงแล้วเข้าสู่อาณาจักรล้านช้าง แนวความคิดนี้ได้อ้างเอาศิลาจารึก พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่ได้กล่าวว่า เมืองเวียงจันทร์ เวียงคำ เมืองชะวา เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย และมีบริวารอย่างล้านช้า ซึ่งรวมถึงภาคอีสานของไทยด้วย ก็น่าจะใช้อักษรเหมือนกัน หรือพัฒนามาจากอักษรเมืองแม่ นั้นคือ สุโขทัย และยิ่งในรัชกาลสมัยพระยาลิไท พระองค์ทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ และนักศาสนาอีกด้วยก็ยิ่งทำให้มีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
2. นักประวัติศาสตร์ลาว อาจารย์สุเนด โพธิสาน ได้เขียนข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์ภาษาลาว อักษรลาว ในเอกสารประกอบการบรรยาย ในวันที่ 23 มกราคม 2559 ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากนักวิชาการของไทยว่า บริเวณลุ่มน้ำโขงในอดีตยังใช้อักษรขอมและมอญ มาบันทึกเรื่องราวของตนเองอยู่ และไทยสยามยังใช้อักษรเขมรอยู่ เมื่อสมัย พ.ศ. 1700  รวมถึงบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็ยังใช้อักษรเขมรด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงนั้น ยังไม่มีอักษรไทยสยาม และจากการศึกษาของ นักอักขระวิทยาพบว่า อักษรลาวได้พัฒนามาก่อนอักษรไทยสยาม พระยาลิไทแห่งสุโขทัย (พ.ศ. 1899-1919) ดังเห็นได้จากจารึกที่เขียนด้วยสีที่ฝาถ้ำนางอัน เมืองหลวงพระบาง หรือศิลาจารึกพระธาตุฮางหรือท่าแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร (ปี ค.ศ. 1350) พ.ศ. 1893 ก่อน อาณาจักรล้านช้าง ที่มีรูปแบบตัวอักษรและอัครวิธีในยุคของพระยาลังธิราช ปี ค.ศ. 1271
อย่างไรก็ตาม จากความคิดเห็นของนักวิชาการทั้งไทยและลาวนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้ทราบถึงความเป็นมาของอักษรไทยน้อยในเชิงประวัติศาสตร์ตามช่วงเวลา ที่แสดงถึงความเก่าแก่ของภาษาไทยน้อยที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของชาวอีสานมาอย่างยาวนาน อักษรไทยน้อยเป็นอักษรที่นิยมใช้เขียนเรื่องราวทางคดีโลก เช่น กฎหมาย พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นต้น
ตัวอย่างอักษรไทยน้อยคำอธิบาย: 15683111_718507264973082_1956780706_n.jpg
(วุฒิชัย  แสงแก้ว,  2557: เทศน์กัณฑ์ที่ 9 มัทรีโศกสลบ,บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย เขียนอักษรไทยน้อย)




เทศน์แหล่งนางมัทรี
บัดนี้....
มัทรีเจ็บปานแซ้ อันสุนิลตีฟาด คาดบ่ถึง ได้นั่งอึ้ง จักเวรแท้ว่าอีหยัง
เผวสฮ้ายอยู่ปั้ง ปั้ง ตัดสั่งทางแข็ง  จึงแถลงรายงาน หมอบคลาน แล้วจาเว้า
พี่เอาหยังมาเว้า ว่าเมาเมียว่าขี้ขลาด อนุญาตอย่าว่าข้ามัทรีกล้าว่าต่อคำ
นางหวังดีเลิศล้ำ ซ่างบ่ฮ่ำตรองคิด จิตมัทรีทั้งดวงใจ บ่ฮักไผทั้งนั้น
ทุกทุกวันยังอยู่ได้ นานปานใด๋ ยังเห็นลูก มื้อนี้ปลุกบ่อนใดกะเงียบจ้อย ค่อยเอิ้นจนเมื่อยแฮง
ละกลับมาถามถูกกลั่นแกล้งแปลงวาดบ่สมพจน์ หยุดฟังคำแถลงการณ์ พี่พะอวนวอนไว้
ให้รักษาบุตราไว้ แต่ในไรบ่ฮู้เรื่อง เว้าแบบนี้พี่โกรธเคือง ซังมัทรีแล้วบ่ จึงหานข้อด่าเปรย
คิดเบิ่งดู้พี่เอย แต่ไกลจาก สิมีมาร หาคนดีคือนาง ย่างตามสิมีบ่
ละบ่ เคยยินหน่อขัดข้อง งอแงในกระดูก พี่กินลูกแล้วซั้นบ่ จึงหารกล้า ดั่งยักษ์มาร
ละเว้า จั่งใด๋กะบ่ต้าน เอื้อนอ่าวจุดหมาย ละเสือกินตาย หรือเดินพาย กลับต่าวคืนเมือเงาแล้ว
ละสิเบาบ่เห็นแล้ว หล่าคำเดียวกระขานท่า  ก่อนมัทรีสิเข้าป่า ยังได้กำซับไว้ ให้ดูไห้วะทั่วถึง
ละกลับมา ถามแล้วบูดบึ้งแถมหาเรื่องมาถมถาม น้องขอยินยอมรับ ถ้านอกใจคือเว้า
เอาละเน้อเด้อสายฟ้า ฟาดลงมาให้ตายห่าง โอ้ยผีอยู่ในดงป่า ธรนีเถื่อนถ่ำ นี้กำต้องว่าแม่นทาง
ละคันแม่นนางดีอยู่นั้น ให้หมั่นเทียงเด้อกับผัว อย่างหมองมัวแนวใด๋ ให้ฮู้งเจริญคือแก้ว
ละลองเบิ่งดู๋ หญิงกับชายใจไผแน่วเทวดาให้เหลียวเบิ่ง เว้าไปเหิ่งคือจั่งอกสิแตกม้างบ่เห็นท่างมา
เงื่อนงอย...ฯลฯ
(วุฒิชัย  แสงแก้ว,  2557: เทศน์กัณฑ์ที่ 9 มัทรีโศกสลบ)















ฉันทลักษณ์กลอนลำ
กลอน หมายถึง คำประพันธ์ ที่มีสัมผัส เช่นโคลง ฉันท์ กาพย์ หรือร่าย กลอนเป็นลำนำขับร้อง คือ บทละคร สักวา บทดอกสร้อย เป็นเพลง คือ กลอนตลาด (ราชบัณฑิตยสถาน,  2542)
                   กลอนลำเป็นบทร้อยกรอง ประพันธ์โดยครูผู้แต่งกลอนลำ หมอลำใช้ลำเมื่อทำการแสดง ทำนองลำที่นิยมใช้มี 5 ทำนอง คือ ทำนองลำทางสั้น ทำนองลำทางยาว ทำนองลำเต้ย ทำนองลำเพลิน และทำนองลำเดิน (พงษ์ศักดิ์  ฐานสินพล ,  2526  อ้างจาก เจริญชัย ชนไพโรจน์ 2526;  20-27)
                   กลอนลำ หมายถึง บทกลอนที่หมอลำทุกประเภทใช้ลำ มีลักษณะเป็นร้อยกรองคล้ายกลอนภาคกลาง เนื้อหากลอนลำที่ใช้ลำได้แก่ กลอนเกี้ยว กลอนนิทาน กลอนวิชาการ และกลอนศีลธรรม เป็นต้น (บัณฑิตวงศ์ ทองกลม,2539 อ้างจาก เจริญชัย ชนไพโรจน์ 2526; 29)
                   กลอนลำหมายถึง บทกลอนที่หมอลำใช้ลำ เนื้อหาเป็นเรื่องราวของท้องถิ่นนำมาแต่งเป็นร้อยกรองที่ให้ความไพเราะเน้นเนื้อหาและความหมายเป็นสำคัญ (เสงี่ยม บึงไสย์,  2533)
                   กลอนลำ หมายถึง กลอนที่หมอลำนำมาจากวรรณกรรมนิทานที่แต่งเป็นร้อยกรอง ไม่นิยมมีคำสร้อยเหมือนกลอนอ่านแต่เน้นสัมผัสระหว่างวรรค (รำเพย ไชยสินธุ์,  2553)
                   จากความหมายของกลอนลำดังกล่าวพอสรุปได้ว่า กลอนลำหมายถึง บทร้อยกรองของอีสานที่หมอลำนำไปลำเนื้อหากลอนลำมาจากวรรณคดีท้องถิ่นอีสานมีสัมผัสระหว่างวรรค เน้นเนื้อหาสาระที่ให้ความหมายเป็นสำคัญ

                   2.2.3.1  ประเภทเนื้อหาและทำนองกลอนลำ
                             การแบ่งประเภทของกลอนลำสามารถจัดได้หลายวิธี แล้วแต่ความเหมาะสมและการศึกษาค้นคว้าของแต่ละคน ส่วน เสงี่ยม  บึงไสย์  (2533) ได้จัดประเภทของกลอนลำไว้ 3 ประเภท คือ 1) แบ่งตามลักษณะเนื้อหา  2) แบ่งตามทำนองทั่วไป 3) แบ่งตามทำนองท้องถิ่น
                             (1)กลอนลำที่แบ่งตามลักษณะเนื้อหาแบ่งออกได้ 5 ประเภท คือ
                                      1.1กลอนเกี้ยว คือ เป็นกลอนลำที่หมอลำฝ่ายชายลำเกี้ยวพาราสีหมอลำฝ่ายหญิง
                                          1.2 กลอนนิทาน คือ กลอนลำที่นำเนื้อหามาจากวรรณกรรมพื้นบ้านมาลำ เช่น ขูลูนางอั้ว ผาแดงนางไอ่ เป็นต้น
                                          1.3 กลอนศีลธรรม คือ กลอนลำที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เช่น กลอนศีลแปด กลอนพุทธทำนาย เป็นต้น
                                          1.4 กลอนวิชาการ คือ กลอนลำที่มีเนื้อหาในทางวิชาการ เช่น กลอนประวัติศาสตร์ กลอนภูมิศาสตร์ กลอนการเมือง เป็นต้น
                                          1.5 กลอนพรรณนาธรรมชาติ คือ กลอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น กลอนเดินดง กลอนพรรณนาดอกไม้ เป็นต้น
(2)กลอนลำที่แบ่งตามทำนองทั่วไป แบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
                                 2.1กลอนลำทางสั้น เป็นท่วงทำนองแบบกระชับ ไม่เยินเย้อ ให้จังหวะเร็ว ใช้ลำกับกลอนที่มีเนื้อหาที่มีความยาวมากเพื่อกระชับเวลาในการลำ ส่วนกลอนลำที่ใช้ลำเช่น กลอนประวัติศาสตร์ กลอนวรรณคดี กลอนพุทธทำนาย เป็นต้น ทำนองกลอนลำทางสั้นให้อารมณ์สนุกสนาน ตื่นเต้น และเร้าใจ
                                         2.2กลอนลำทางยาว เป็นทำนองแบบช้า อาศัยความละเอียดของคำมีการเอื้อนเสียงใช้ลำกับกลอนที่มีเนื้อหาที่ต้องการความละเอียดและไม่ยาวมาก กลอนลำที่ใช้ลำเช่น กลอนลำพรรณนาคิดถึงคนรัก กลอนลำอวยพร และกลอนลำล่องของ เป็นต้น
                                         2.3ลำเต้ย เป็นทำนองจังหวะเร็ว ใช้ในการเกี้ยวพาราสีระหว่างชายและหญิงมีอยู่ 4 ทำนอง ได้แก่ เต้ยโขง เต้ยพม่า เต้ยธรรมดา และเต้ยโนนตาล ทำนองลำเต้ยให้อารมณ์สนุกสนาน
                                         2.4ลำเพลิน เป็นท่วงทำนองจังหวะเร็ว และมีการแทรกเพลงลูกทุ่งสลับลำตามสมัยนิยม ให้ความสนุกสนาน และเร้าใจ
                             (3)กลอนลำที่แบ่งตามทำนองท้องถิ่น แบ่งได้เป็น 4 ทำนอง
(ปริญญา ป้องรอด,  2544) คือ
                                      3.1วาดอุบล หรือทำนองอุบล เป็นท่วงทำนองที่ช้ามีการเอื้อนเสียงที่ยาวและสูงและใช้ลูกคอท้ายวรรคมาก ผู้ลำทำนองอุบลได้ดีนั้นจะต้องมีลมหายใจยาว และเสียงดี
                             3.2วาดขอนแก่น หรือทำนองขอนแก่น เป็นทำนองที่มีจังหวะเร็วกว่าทำนองอุบล ไม่มี โอ่ ตอนเกริ่นลำ ในขณะลำไม่มีเอื้อนเสียงและใช้ลูกคอมากเท่ากับทำนองอุบล แต่จะเอื้อนเสียงยาวเฉพาะบทโศกเศร้าเท่านั้น ผู้ที่จะลำวาดขอนแก่นได้ดีต้องมีเสียงสูงและแหลมถึงจะไพเราะ
                             3.3วาดกาฬสินธุ์ หรือทำนองกาฬสินธุ์ เป็นท่วงทำนองที่ช้าและหนักแน่น ตอนเกริ่นลำมักขึ้นต้นว่า มาบัดนี้ แม่เอ้ยแม่ ในระหว่างการลำไม่มีการเอื้อนเสียง มักลำเสียงห้วน ๆ มีการใช้ลูกคอเล็กน้อย ผู้ที่ลำวาดกาฬสินธุ์ได้ดี ต้องเสียงต่ำและเสียงใหญ่ทุ้ม และห้าว
                              3.4วาดสารคาม หรือทำนองสารคาม เป็นทำนองเดียวกันกับทำนองกาฬสินธุ์ เพราะในอดีตสำนักงานหมอลำตั้งอยู่ที่จังหวัดสารคามเป็นจำนวนมาก ชาวกาฬสินธุ์จึงมาลำอยู่ที่สารคามค่อนข้างมากตามไปด้วย เมื่ออยู่นานไปจึงเรียกว่า วาดสารคาม
                   2.2.3.2  ฉันทลักษณ์กลอนลำ
                             (1) รูปแบบคำประพันธ์
                             กลอนเป็นรูปแบบคำประพันธ์ที่นิยมใช้กันมากที่สุดในวรรณกรรมอีสานเรียกว่า โครงสาร หรือ กลอนวิชุมาลี(จารุวรรณ  ธรรมวัตร,2521) โดยเฉพาะกลอนอ่าน ซึ่งกลอนอ่านใน 1 บท มี 2 วรรค แบ่งออกเป็นบทเอก และบทโท ดังนี้
                             บทเอก หมายถึง บทที่มีเสียงเอกนำใน บาทแรก คำที่ 2  วรรคหน้า มีเสียงวรรณยุกต์เอก 3 ตำแหน่ง วรรณยุกต์โท 2 ตำแหน่ง
แผนผัง
บทเอก (๐๐)๐๐๐            ๐๐๐๐ (๐๐)
(๐๐)๐๐๐            ๐๐๐๐ (๐๐)
ตัวอย่างกลอน
“…แล้วบ่ช้า      นางก็สั่งสามี
บุสดีนางงาม      ก็สั่งความนำท้าว…”
(เตชวโร ภิกขุ (อินตา กวีวงศ์),  สุริยะคาส จันทระคราส. หน้า 24)
                             บทโท หมายถึง บทที่มีเสียงโทนำในบาทแรก คำที่ 3 วรรคหน้า มีเสียงวรรณยุกต์เอก 3 ตำแหน่ง และวรรณยุกต์โท 3 ตำแหน่ง
แผนผัง
บทโท   (๐๐)๐๐๐            ๐๐๐๐ (๐๐)
(๐๐)๐๐๐            ๐๐๐๐ (๐๐)
ตัวอย่างกลอน
“…คราวเมื่อองค์อวนอ้าย  ไปเถิงเมืองบ้านเก่า
ขอให้พระพี่เจ้า                      คะนิงน้องผู้อยู่คอย…”
(เตชวโร ภิกขุ (อินตา กวีวงศ์),  สุริยะคาส จันทระคราส.  หน้า 24)
                                      หากนำไปแต่งเป็นคำกลอนที่มีเนื้อหาเรื่องราวแล้ว นิยมแต่งแบบคู่และแบบเดี่ยวคือ บทเดี่ยวจะแต่งบทเอกหรือบทโทของบทใดก่อนก็ได้ ส่วนบทคู่ คือ การนำบทเอกและบทโทมารวมกัน เพื่อให้เกิดความไพเราะของบทกลอนและเป็นที่นิยมในการประพันธ์กลอนแต่โบราณ คือ หากจะแต่งบทคู่ให้ใช้บทเอกเป็นบทแต่งนำ หากจะแต่งด้วยบทเดี่ยว ให้ใช้บทโทนำ
แผนผัง
บทเอก
 
(๐๐)๐๐๐            ๐๐๐๐ (๐๐)
(๐๐)๐๐๐            ๐๐๐๐ (๐๐)
บทโท
 
(๐๐)๐๐๐            ๐๐๐๐ (๐๐)
(๐๐)๐๐๐            ๐๐๐๐ (๐๐)
ตัวอย่างกลอน
“…นางกล่าวต้าน          ชวนพี่ราชา
ถึงเวลา                     กล่าวจาคีค้อย
ผมหอมน้อย                ชวนชายเข้าบ่อน
เข้าไปนอนแนบข้าง        ปรางค์กว้างฮ่วมพระนาง…”
(เตชวโร ภิกขุ (อินตา กวีวงศ์),  นางผมหอม. หน้า61)
                                      คำเสริมเป็นคำที่ใช้เพิ่มเข้าหน้าวรรคเพื่อขยายความหมายให้สมบูรณ์ขึ้น เช่น โอน้อ เทื่อนี้ บัดนั้น ฯลฯ
                                      คำสร้อยเป็นคำที่ใช้เพิ่มท้ายวรรค เพื่อขยายความหมายให้สมบูรณ์ขึ้น เช่น พุ้นเย้อ นั้นแล้ว แลนา ฯลฯในกลอนอ่านนี้จะบังคับแต่วรรณยุกต์เท่านั้น ส่วนสัมผัสไม่เคร่งครัด แต่ในปัจจุบันนิยมให้มีทั้งสัมผัสสระและพยัญชนะ
                                      (2) เค้าโครงการประพันธ์กลอนลำ
                             การประพันธ์กลอนมีลักษณะทั่วไปที่เรียกว่า เค้าโครง ที่เป็นองค์ประกอบของกลอนลำทุกชนิด มี 3 ส่วนคือ กลอนเกริ่น กลอนเญิ้น และกลอนจบ ( จิรภัทร แก้วกู่,  2541)ดังนี้
                                          2.1 กลอนเกริ่น เป็นคำนำของกลอนใช้ในการเปิดเรื่อง ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหากลอน เพื่อเทียบเคียงจังหวะของเสียงลำกับเสียงแคนให้เข้ากันอย่างลงตัว ในกลอนเกริ่นนี้สามารถแบ่งย่อยได้ อีก 3 จังหวะ คือ เกริ่นเริ่ม เกริ่นเรื่อง และเกริ่นลง ดังนี้
2.1.1เกริ่นเริ่ม คือ คำเริ่มกลอน มีอยู่ 1 วรรค จำนวน 4 คำ
แผนผัง
เกริ่นเริ่ม ๐ ๐ ๐ ๐
ตัวอย่าง
โอ่ โอ๋ละนอ
                                       2.1.2เกริ่นเรื่อง คือ คำเกริ่นเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นแก่นเรื่องก่อนเข้าถึงกลอนเญิ้น มีจำนวน 7-8 คำ วรรคหน้า 3 คำ วรรคหลัง 4 คำ ส่งสัมผัสระหว่างคำสุดท้ายของบาทที่ 1กับคำที่ 1,2,3 ในบาทถัดไป
แผนผัง
เกริ่นเรื่อง                            ๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐                  ๐๐๐๐
ตัวอย่าง
เอี้ยงคาบไข่       สังกานอนคอน
ซอนอ้ายแด่หน่า           หนาน้องหน่า
                                                2.1.3เกริ่นลง คือ คำลงท้ายกลอน มีจำนวน 2-3 พยางค์ เช่น
แผนผัง
เกริ่นลง ๐๐
ตัวอย่าง
ละนา พี่เอย น้องสาวเอย
แผนผังกลอนเกริ่นสมบูรณ์
1. เกริ่นเริ่ม ๐๐๐๐
2. เกริ่นเรื่อง
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
3.เกริ่นลง ๐๐๐
ตัวอย่าง
‘’…โอละหนอ
ไม้เอยไม้ ไม้เจ้าล้มพาดง่า  เจ้าพากันตัดป่า จนว่าไม้หมดลง
ยามฝนตกฝนลงมันกะไหลลงมา
กะท่วมบ้านเอาสา มันตายจ้อย
โอ้ยละน้อ นวนนวนเอย…”
ฯลฯ
(ประมวล  พิมพ์เสน,2543  กลอนลำทางสั้น เฮือนสาม น้ำสี่.หน้า 79)
                                      2.2กลอนเญิ้น คือ กลอนที่เป็นเนื้อหาในการบรรยายเรื่องราว หรือ เหตุการณ์ต่างๆ ในแก่นเรื่องเดี่ยวกันจนจบเรื่อง สามารถแบ่งออกได้3 ลักษณะ คือ  กลอนเญิ้นแต่ง(เขียน) กลอนเญิ้นดั้น และกลอนเญิ้นพัฒนา มีรายละเอียดดังนี้
                                      2.2.1กลอนเญิ้นแต่ง (เขียน)เป็นกลอนดั้งเดิม ที่ยึดเสียงวรรณยุกต์เป็นหลักบางครั้งเรียกว่า โคลงสาร มีลักษณะแบบเดียวกับ กลอนอ่าน กลุ่มคำมีอยู่ 7 คำ เรียกว่า กลอนเจ็ด และสามารถเพิ่มคำเสริม และคำสร้อยได้ แต่ต้องเพิ่มเป็นคู่ คือ 2 คำ หรือ 4  คำ ไม่เกินนี้ จะเติมด้านหน้าหรือด้านหลังก็ได้ตามความเหมาะสม กลอนเญิ้นแต่งนี้ มีการกำหนดบทเอก และบทโท อย่างชัดเจน ตัวอย่างกลอน เช่น
กลอนลำทางสั้นเชิญชวนชาวอีสานกลับบ้าน
“…ฟังเด้อไทย ชาวไทยทุกท่าน
อยู่ตามหมู่บ้าน ไกลใกล้ห่างกัน
มีห้วยกั้น  ผาหลั่นปันแดน
กะแม่นดินไทยแลนด์  แผ่นเดียวเด้อป้า…”ฯลฯ
(สุนทร  แพงพุทธ,  2556)
                                       2.กลอนเญิ้นดั้นเป็นการยึดสัมผัสคล้องจองเป็นหลักแบ่งออกเป็น2 แบบ คือ สัมผัสคำ เป็นการส่งสัมผัสกันท้ายบาทกลอน และ สัมผัสร้อง เป็นการรับส่งสัมผัสระหว่างบทกลอนเพลง กลอนเญิ้นดั้นนี้ในแต่ละบาทมีจำนวนคำอยู่ 7 คำ มีลีลากระซับรวดเร็วเหมาะกลอนลำทางสั้น
แผนผัง
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
ตัวอย่างกลอน
“…ฟังเด้อเจ้า คุณพ่อศรัทธา
หลานสิพรรณนา  ฮิตครองของเก่า
ดีกว่าอยู่เปล่าเปล่า  น้อน้าบ่าวอาวอา
ประเพณีเขามา สับเอาเฮาเปลี่ยน
นี้จั่งแม่นเจ้าเลียน ฟ้าวรับฟ้าวเอา…”
ฯลฯ
(ประมวล  พิมพ์เสน,2543  ลำทางสั้น ฮีตสิบสอง. หน้า.82)
                                                2.3กลอนเญิ้นพัฒนาได้พัฒนามาจากกลอนเญิ้นดั้น ยึดวรรณยุกต์และการส่งสัมผัสเป็นหลักเรียกว่า โคลงสาร กลอนหนึ่งบท มี 1 บาท วรรคหน้า 5 คำ วรรคหลัง 5 คำ รวมเป็น 10 คำ หรืออาจมีการเพิ่มคำอีกเป็น 9  หรือ 10 คำ ก็ได้เพื่อต้องการความหมาย การส่งสัมผัสมีทั้งสัมผัสร้อง และสัมผัสคำ เหมือนกับกลอนเญิ้นดั้น กลอนเญิ้นพัฒนานี้มีจำนวนคำในคำกลอนมากจึงเหมาะกับทำนองลำทางยาวที่มีท่วงทำนองที่ช้า และให้เสียงสูง เช่น
แผนผัง
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
ตัวอย่างกลอน
กลอนลาภาษาพื้นบ้าน
จบกระบวนสมควรแล้ว            สิลาปางวางข่วง 
หมอลำลงจากฮ้าน                            คนเฒ่าฮีแม่เฮือน
กะสิคาด ๆเคลื่อน                   ลับเลี่ยมลงบัง
ดาวกุญชรงาเงย                               ไก่บักแดงขันท้า
ดวงจันทรากำลังค้อย                         คอยแสงใกล้สว่าง
ซุมดาวหางดาวไก่น้อย                        คอยป้องอี่แม่เมือ…”
ฯลฯ
(สุนทร  แพงพุทธ,  2556.หน้า 14)
                                                2.4 กลอนลงเป็นคำที่ลงท้ายกลอนลำ เพื่อใช้ในการจบกลอนลำหรือบทลำ อาจมี 1,2 หรือ 3 พยางค์
แผนผัง
๐๐๐
ตัวอย่างเช่น ละนา พี่เอย นอนี่
ตัวอย่างแผนผังที่สมบูรณ์
1. เกริ่นเริ่ม       ๐๐๐           
2. เกริ่นเรื่อง     ๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
๐๐๐          ๐๐๐๐
3. เกริ่นลง        ๐๐๐ 
4. กลอนเญิ้น
๐๐๐๐               ๐๐๐๐
๐๐๐๐               ๐๐๐๐
๐๐๐๐               ๐๐๐๐
๐๐๐๐               ๐๐๐๐
5. กลอนลง       ๐๐

ตัวอย่างกลอน
“…โอนอ
น้องนี้กะยังได้เว้าเจ้าได้ว่า  ไม้เอยไม้เจ้าสิล้มพาดง่า
คำพุ้นว่าเดี่ยงมา ว่าเดี่ยงมา….เออ  เออ  ละน่า
โอนอ เหลียวไปทางเหนือพุ้น เวียงจันทร์ปากน้ำงึ่ม
เห็นแต่ดอนต่อขั้น  ขันต่อแจ้งกระแสน้ำปั่นหลิว
เหลียวไปทิวบนด้าน โพธารามก้ำบ้านโป่ง
เลาะตามสายแม่น้ำโขง  เห็นแต่เรือพ่อค้าลงแก้งท่ากระเบา…”
ฯลฯ
ละนา
(ไพบูรณ์  แพงเงิน,  2534  อ้างจากหมอลำขันทอง  หน้า 58-59)
                             (3) ประเภทโครงสร้างกลอนลำ
                             ไพบูลย์  แพงเงิน (2534) ได้แบ่งกลอนลำออกเป็น 3 ประเภท คือ กลอนลำทางสั้น กลอนลำทางยาว และลำเต้ย ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
                             3.1 ลำทางสั้น จำนวนคำในประโยคเนื้อหาลำทางสั้นที่นิยมมากที่สุดคือ จำนวน 14 คำ จำนวนคำในวรรคหน้า 7 คำ วรรคหลัง 7 คำ นิยมส่งสัมผัสไปยังคำที่ 3 และ 4 มากที่สุด จำนวนความยาวของบทขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระของกลอนลำ


แผนผังโครงสร้างของกลอนลำทางสั้น
ตอนต้น โอละนอ  (หรือข้อความอื่น)………………….โอละนอ นวลเอย  (หรือข้อความอื่น)
ตอนกลาง        ……………………………….…………      (กลอนตัด) หรือ           
………………………………………….      (กลอนเญิ้น)
ตอนปลาย        ……………………….สีนานวล…….      ท่อนี้แล้ว (หรือข้อความอื่น)
                             3.2 ลำทางยาว จำนวนคำในประโยคเนื้อหาลำทางยาวที่นิยมมากที่สุดคือ จำนวน 23 คำ จำนวนคำในวรรคหน้า 11 คำ วรรคหลัง 18 คำ นิยมส่งสัมผัสไปยังคำที่ 3 และ 5 มากที่สุด จำนวนความยาวของบทขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระของกลอนลำ
แผนผังโครงสร้างของกลอนลำทางยาว
ตอนต้น โอละนอ  (หรือข้อความอื่น)………………….เออละนา (หรือข้อความอื่น)
ตอนกลาง        ……………………………….…….. (กลอนเญิ้น)
                   ……………………………………..
ตอนปลาย        ……………………………………..ละนา (หรือข้อความอื่น)
                                      3.3 ลำเต้ย จำนวนคำในประโยคเนื้อหาลำเต้ยที่นิยมมากที่สุดคือ จำนวน 24 คำ จำนวนคำในวรรคหน้า 11 คำ วรรคหลัง 18 คำ นิยมส่งสัมผัสไปยังคำที่ 3 และ 4 มากที่สุด จำนวนบทขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระของกลอนลำ
แผนผังโครงสร้างของกลอนลำเต้ยธรรมดา
ตอนต้น           สาวแม่นนางเอ๊ย (หรือข้อความอื่น)

ตอนกลาง        …………………………………..
ตอนปลาย        นั่นละนานางนา นกเขาขันลาแต่ตอนเอ๊ย (หรือข้อความอื่น)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

ข่าวเรียกบรรจุครูทั่วไทย อ่านต่อได้ที่: http://www.kruwandee.com/widget.html

ศิลปวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง: วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน

ศิลปวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง: วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน
ศิลปวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง: วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน